เช็คด่วน! 7 สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุณอาจไม่รู้
รู้หรือไม่? รัฐบาลมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมายที่มอบให้กับประชาชน
ในฐานะผู้เสียภาษี หลายคนอาจเข้าใจว่าการเสียภาษีเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมายที่คุณอาจไม่รู้ และหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้ บทความนี้จะแนะนำ 7 สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุณอาจพลาดไปหรือไม่เคยรู้มาก่อน และแนะนำระบบ etax ที่จะช่วยให้คุณจัดการภาษีได้ง่ายขึ้น แล้วจะมีสิทธิการลดหย่อนประเภทไหนบ้าง ไปดูกันเลย!!
1. ค่าลดหย่อนประกันชีวิต
หมายถึง ผู้เอาประกันสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไป แจ้งเพื่อขอรับการลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท สิทธิ์ของผู้มีเงินได้ที่ทำประกันชีวิต ในการหักลดหย่อนเงินได้สุทธิจากเงินได้ของตนเอง เพื่อลดภาระภาษี
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนประกันชีวิต
- ผู้เสียภาษีต้องเป็นผู้เอาประกันชีวิตด้วยตนเอง
- กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีระยะเวลาคุ้มครองไม่น้อยกว่า 10 ปี
- เบี้ยประกันที่ชำระต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
จำนวนเงินที่สามารถหักลดหย่อนได้
- ผู้เสียภาษีสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- กรณีมีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ผู้เสียภาษีสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน 10,000 บาท
ประเภทของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
- ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ข้อควรระวัง
- ผู้เสียภาษีต้องเก็บใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นที่แสดงถึงค่าใช้จ่ายในการชำระเบี้ยประกันชีวิตไว้เป็นหลักฐาน
- กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ซื้อเพื่อเป็นประกันกลุ่ม ผู้เอาประกันชีวิตไม่สามารถนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนภาษีได้
2. ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงบุตร
ผู้มีบุตรอายุไม่เกิน 18 ปี หรือไม่เกิน 25 ปี กรณีเป็นนักเรียน นักศึกษา สามารถนำค่าเลี้ยงดูบุตรมาขอรับการลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน การเลี้ยงดูบุตรหลานเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สำคัญของครอบครัว รัฐบาลไทยจึงมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้มีรายได้ที่เลี้ยงดูบุตรหลาน ในรูปแบบของ “ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงบุตร”
ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงบุตร หมายถึง สิทธิ์ของผู้มีรายได้ที่เลี้ยงดูบุตรหลาน ในการหักลดหย่อนเงินได้สุทธิจากเงินได้ของตนเอง เพื่อลดภาระภาษี
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงบุตร
1.จำนวนเงินที่สามารถหักลดหย่อนได้
- บุตรที่อยู่ในความดูแล สามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาทต่อปี ไม่ว่าอยู่ในวัยเรียนหรือไม่
- แต่ถ้ามีลูกคนที่ 2 ที่เกิดในปี 2561 หรือหลังจากนี้และต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนเพิ่มได้ 60,000 ต่อปี
2.เกณฑ์อายุ
การใช้สิทธิหักลดหย่อนได้ต้องผ่านเกณฑ์อายุดังนี้
- อายุ ไม่ถึง 20 ปี หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- อายุ 20 – 25 หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ต้องอยู่ในระดับอนุปริญญา / ปวส. หรือ ปริญญาขึ้นไป
- อายุเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องเป็นบุตรที่ไร้ความสามารถ หรือ เสมือนไร้ความสามารถ
3. ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงคู่สมรส
หมายถึง สิทธิ์ของคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีรายได้ไม่เกิน 360,000 บาท สามารถนำมาขอรับการลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท ในการหักลดหย่อนเงินได้สุทธิจากเงินได้ของคู่สมรส เพื่อลดภาระภาษี
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนเบี้ยเลี้ยงคู่สมรส
- คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย
- มีฐานะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
- อาศัยอยู่กินร่วมกันเป็นสามีภรรยาจริง
4. ค่าลดหย่อนเงินบริจาค
ผู้บริจาคเงินให้กับองค์กรสาธารณกุศล หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา มูลนิธิ หรือองค์กรที่ได้รับยกเว้นภาษี สามารถนำเงินบริจาคมาขอรับการลดหย่อนภาษีได้
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนเงินบริจาค
- เป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- บริจาคเงินให้กับมูลนิธิ องค์กร หรือสถานที่ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
- มีใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นที่แสดงถึงค่าใช้จ่ายในการบริจาค
จำนวนเงินที่สามารถหักลดหย่อนได้
- เงินบริจาคทั่วไป สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10%
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา หรือ เงินบริจาคเพื่อการแพทย์ สามารถลดหย่อนได้ 2 เท่า แต่ต้องอยู่ในหลักเกณ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
มูลนิธิ องค์กร หรือสถานที่ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้เสียภาษีสามารถตรวจสอบรายชื่อมูลนิธิ องค์กร หรือสถานที่ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
5. ค่าลดหย่อนสำหรับผู้พิการ
ผู้พิการหรือบุคคลที่อยู่ในอุปการะเลี้ยงดู และมีรายได้ไม่เกิน 360,000 บาท สามารถนำมาขอรับการลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท
ประเภทของค่าลดหย่อนภาษีสำหรับผู้พิการ
ผู้พิการสามารถใช้สิทธิ์ค่าลดหย่อนภาษีได้ 2 ประเภท ดังนี้
- ค่าลดหย่อนสำหรับผู้พิการ
ผู้พิการสามารถหักลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาทต่อปี สามารถใช้สิทธิ์กับผู้พิการที่เป็นคู่สมรส บุตร หรือพ่อแม่ ผู้พิการต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ และหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ - ค่าลดหย่อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
สามารถหักลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 125,000 บาทต่อปี ต้องมีใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นที่แสดงถึงค่าใช้จ่าย
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนภาษีสำหรับผู้พิการ
- เป็นผู้พิการตามมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2561
- มีบัตรประจำตัวผู้พิการ
- มีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ
6. ค่าลดหย่อนสำหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีสิทธิในการลดหย่อนภาษีในฐานะผู้สูงอายุได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ สำหรับผู้มีอายุครบ 65 ปี บริบูรณ์ สามารถนำสิทธิยกเว้นเงินได้ 190,000 บาทแรกของตน ไปหักออกจากเงินได้ประเภทใดก็ได้ที่ตนได้รับระหว่างปีภาษี ซึ่งสิทธิลดหย่อนนี้จะทำให้วัยเกษียณมีรายได้ที่นำไปคำนวณสำหรับการเสียภาษีน้อยลง และทำให้จ่ายภาษีในอัตราที่น้อยลงนั่นเอง และสำหรับผู้ที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท บุตรก็สามารถนำสิทธิอุปการะบิดามารดาไปใช้ลดหย่อนได้ด้วยเช่นกัน
7. ค่าลดหย่อนสำหรับผู้ประกันตน
ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 39 หรือ 40 ของประกันสังคม สามารถนำเงินสมทบที่จ่ายไป แจ้งเพื่อขอรับการลดหย่อนภาษีตามยอดที่ได้จ่ายจริง ทั้งปี หรือได้ สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
การรู้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้ ตรวจสอบว่าตัวเองมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน และอย่าลืมนำไปแจ้งเพื่อขอรับการลดหย่อนภาษี
วิธีการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดา (Personal Invoice) เป็นเอกสารที่แสดงรายการสินค้าหรือบริการที่บุคคลธรรมดาซื้อหรือได้รับ และมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมอยู่
ความสำคัญของใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดา
- ใช้สำหรับการลดหย่อนภาษี: บุคคลธรรมดาสามารถนำใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดาไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในหมวดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล เงินบริจาค เบี้ยประกันชีวิต เงินออมเพื่อการเกษียณอายุ ฯลฯ
- ใช้เป็นหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย: บริษัท ห้างร้าน หรือผู้ประกอบการบางรายอาจกำหนดให้ลูกค้าหรือพนักงานแนบใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ
รายละเอียดบนใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดา
ใบกำกับภาษีบุคคลธรรมดาจะต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ชื่อหรือชื่อย่อ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ขาย: ระบุชื่อหรือชื่อย่อ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลข 13 หลัก) ของผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ
- หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี: ระบุหมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี
- วันที่ออกใบกำกับภาษี: ระบุวันที่ออกใบกำกับภาษี
- ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ: ระบุชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ซื้อหรือได้รับ
- ราคาสินค้าหรือบริการที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว: ระบุราคาสินค้าหรือบริการที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
- ข้อความอื่น: อาจมีข้อความอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เงื่อนไขการชำระเงิน หมายเหตุ ฯลฯ
ใบกำกับภาษีที่ได้รับจากการซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้น ทางผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็คทรอนิกส์ให้ผ่านทางระบบ eTax ซึ่งลูกค้าจะได้รับใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็คทรอนิกส์หรือไฟล์ PDF / A3 ผ่านทางอีเมลหรือ SMS สามารถนำมาเป็นหลักฐาน เพื่อยื่นขอลดหย่อนภาษีกับทางกรมสรรพากรได้ ผ่านช่องทาง Online ระบบ E- Filing ของกรมสรรพากร