ความเเตกต่างของ ภ.ง.ด. 3 และ ภ.ง.ด. 53

ความเเตกต่างของ ภ.ง.ด. 3 และ ภ.ง.ด. 53 การทำความเข้าใจเรื่องการยื่นแบบภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภ.ง.ด. 3 และ ภ.ง.ด. 53 เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทย เพราะช่วยให้สามารถดำเนินการทางภาษีอย่างถูกต้องและป้องกันปัญหาทางกฎหมายได้ ภ.ง.ด. 3 คืออะไร ภ.ง.ด. 3 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย) ที่เกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับจากบุคคลธรรมดา เช่น ค่าแรง ค่าจ้าง ค่าบริการ ค่าจ้างทำของ, เงินรางวัล ที่เกิดขึ้นในธุรกิจ โดยใช้ในการหักภาษีจากผู้รับเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาและยื่นต่อกรมสรรพากร เป็นต้น ลักษณะการใช้งาน ผู้มีหน้าที่ใช้แบบ ภ.ง.ด. 3: ใช้โดยบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่จ่ายรายได้ให้บุคคลธรรมดาแล้วมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กำหนด ตัวอย่างรายได้ที่หักภาษี: ค่าแรง ค่าจ้าง ค่าบริการ…

ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ vs. ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ต่างกันอย่างไร?

ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ vs. ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ต่างกันอย่างไร การเปรียบเทียบต้นทุนในการออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) และใบกำกับภาษีแบบกระดาษ มีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะในด้านต้นทุนทางธุรกิจ ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล ซึ่งแต่ละวิธีมี ข้อดี และค่าใช้จ่ายต่างกัน เรามาดูการเปรียบเทียบระหว่าง ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ vs. ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ต่างกันอย่างไร ? เรามาหาคำตอบกันในบทความนี้กันค่ะ 1. ต้นทุนการออกใบกำกับภาษี ต้นทุนการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ใบกำกับภาษีแบบกระดาษมีต้นทุนหลายประการที่เกี่ยวข้อง เช่น  ต้นทุนการพิมพ์ และการจัดเก็บเอกสาร: ต้องมีการพิมพ์ใบกำกับภาษีออกมาเป็นกระดาษ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนของกระดาษ หมึกพิมพ์ และการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ ทั้งยังต้องมีการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้เมื่อจำเป็น ต้นทุนการจัดการข้อมูล และเวลาในการทำงาน: เนื่องจากใบกำกับภาษีแบบกระดาษต้องใช้เวลามากขึ้นในการจัดเตรียมเอกสาร และการจัดการเอกสาร อาจมีข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่าแบบอิเล็กทรอนิกส์ ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง และส่งมอบเอกสาร: การจัดส่งใบกำกับภาษีทางไปรษณีย์ หรือ พนักงานจัดส่งของบริษัท ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งอาจเพิ่มภาระให้กับธุรกิจ ต้นทุนการออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Tax Invoice…

ธุรกิจโรงแรม ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง

ธุรกิจโรงแรม ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง ทุกคนเคยสงสัยไหมคะ ธุรกิจโรงแรม ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง? การดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยต้องมีการชำระภาษีและค่าธรรมเนียมหลายประเภทซึ่งเป็นข้อกำหนดตามกฎหมาย ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้บริการจำนวนมากทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้มีภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องหลากหลายรายการ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุม บทความนี้จะแนะนำภาษีและค่าธรรมเนียมหลัก ๆ ที่ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยต้องชำระ มีดังนี้ค่ะ ธุรกิจโรงแรมเสียภาษีอะไรบ้าง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินธุรกิจและประเภทของรายได้ที่ได้รับ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการโรงแรมจะต้องคำนวณภาษีจากรายได้ที่ได้รับหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นไปตามระดับรายได้ โดยมีการจัดเก็บในลักษณะของอัตราก้าวหน้า (progressive tax rates) ซึ่งหมายความว่ารายได้ที่สูงขึ้นจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น โดย ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ 91) ตามกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะต้องยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะคิดจากกำไรสุทธิที่เกิดจากการประกอบกิจการ โดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจโรงแรมทั่วไปจะอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ (ตาม พ.ร.บ. ประมวลรัษฎากร) ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจโรงแรมมีรายละเอียดสำคัญ  ภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยมีอัตรา 20% ของกำไรสุทธิที่เกิดจากการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี กำไรสุทธิจะคำนวณจากรายได้รวมหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน,…

ภาษีซื้อ และ ภาษีขาย คืออะไร?

ภาษีซื้อ และ ภาษีขาย คืออะไร? ภาษีซื้อ และ ภาษีขาย เป็นคำศัพท์ที่เราได้ยินกันบ่อยในแวดวงธุรกิจและการเงิน แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง และความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่าง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่างกันค่ะ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ใช้ในกรณีไหนได้บ้าง? ความแตกต่างระหว่าง ภาษีซื้อ และ ภาษีขาย ภาษีซื้อ คืออะไร? ภาษีซื้อ คือ ภาษีที่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการต้องชำระให้กับหน่วยงานรัฐในขณะทำการซื้อ โดยทั่วไปแล้ว ภาษีนี้จะถูกบวกเข้าไปในราคาสินค้าหรือบริการที่ซื้อ และผู้ขายจะมีหน้าที่ในการรวบรวมภาษีนี้เพื่อนำส่งให้กับรัฐบาล ภาษีซื้อมักถูกนำไปใช้ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นระบบภาษีที่มีการเรียกเก็บในหลายประเทศ โดยผู้ซื้อจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตราที่กำหนดเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการ และผู้ขายจะต้องออกใบเสร็จรับเงินที่ระบุจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ชำระไปด้วย การเก็บภาษี ผู้ซื้อช่วยให้รัฐบาลมีรายได้สำหรับการพัฒนาสาธารณูปโภคและบริการต่าง ๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และการดูแลสังคม ภาษีซื้อช่วย หรือ การใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ในการกระจายรายได้และสร้างความมั่นคงทางการเงิน โดยการใช้ภาษีในการสนับสนุนโครงการพัฒนาที่มีประโยชน์ต่อสังคม ระบบภาษีที่ถูกต้องช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม โดยการจัดเก็บภาษีตามความสามารถในการจ่ายของผู้ซื้อ ผู้ขายสามารถนำภาษีซื้อที่จ่ายไปแล้วมาใช้ในการลดภาษีขาย (VAT) ที่ต้องชำระให้กับรัฐ ซึ่งช่วยกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจ รวมไปถึง e-Tax invoice &…

ความเเตกต่าง Commercial Invoice กับ Proforma Invoice

หลายคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก อาจเคยได้ยินคำว่า Commercial Invoice และ Proforma Invoice บ่อยครั้ง แต่กลับยังมีความสับสนว่าเอกสารทั้งสองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร และใช้งานในกรณีใดบ้าง เพราะชื่อเรียกคล้ายกันและมักเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ จึงอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้ง่าย ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจ ความเเตกต่าง Commercial Invoice กับ Proforma Invoice พร้อมความหมายว่ามันคืออะไร ใช้ต่างกันเมื่อไหร่ และเหตุใดการแยกแยะให้ถูกต้องจึงสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ Proforma Invoice (ใบเเจ้งราคา) Proforma Invoice คืออะไร เอกสารที่ออกโดยผู้ขายเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า บริการ ที่เสนอขาย โดยไม่ใช่ใบแจ้งหนี้ที่เป็นทางการ เอกสารนี้มักจะใช้เพื่อแสดงรายละเอียดเป็นข้อมูลเบื้องต้น เช่น ราคา จำนวน และเงื่อนไขการขายก่อนที่การทำธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อลูกค้าหรือผู้ซื้อยอมรับในเงื่อนต่าง ๆ ก็จะทำการเปิดสั่งซื้อสินค้าโดยอ้างอิงเลขที่และวันที่ของ Proforma Invoice วันนั้น โดยปกติแล้วลูกค้าจะต้องดูข้อมูลว่าถูกต้องหรือไหม ดังนั้น Proforma Invoice คือเอกสารเสนอขายและเป็นเอกสารทำการตกลงระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ นั่นเองค่ะ Proforma Invoice สำคัญอย่างไร เป็นเอกสารที่ใช้ในการเสนอราคาสินค้า และเงื่อนไขการขายก่อนการตัดสินใจซื้อช่วยให้ผู้ขายและผู้ซื้อเข้าใจถึงข้อมูลสินค้า ข้อมูลราคาสินค้า…

ภ.ง.ด. 53 คืออะไร?

ภ.ง.ด. 53 คืออะไร? “หลายๆคนอาจะยังสงสัยกันค่ะว่า ภ.ง.ด. 53 สำคัญอย่างไร คืออะไร? และใช้ตอนไหนบ้าง วันนี้เราจะมาอธิบายให้ฟังกันค่ะว่าจริงๆ แล้ว  ภ.ง.ด. 53 คืออะไร?” ภ.ง.ด. 53 คือ แบบแสดงรายการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่บุคคลหรือหน่วยงานที่จ่ายเงินให้กับผู้รับเงินที่เป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา จะต้องทำการหักภาษีไว้ และยื่นแบบเพื่อชำระภาษีต่อกรมสรรพากร ซึ่งตามกฎหมายไทยกำหนดให้ผู้ที่จ่ายเงินต้องเป็นผู้ที่หักภาษี ณ ที่จ่าย แล้วนำส่งกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด รายละเอียดการหักภาษี ณ ที่จ่าย การยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 จะใช้เมื่อมีการจ่ายเงินในลักษณะดังนี้: ค่าบริการ เช่น ค่าโฆษณา ค่ารักษาความปลอดภัย หรือค่าที่ปรึกษา ค่าจ้างทำของ เช่น ค่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการ ค่าสิทธิ (Royalties) เช่น ค่าลิขสิทธิ์ ค่าสิทธิในการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา ดอกเบี้ย เงินปันผล หรือเงินกำไรที่จ่ายให้นิติบุคคลอื่นหรือบุคคลธรรมดา อัตราภาษี ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะมีอัตราตั้งแต่ 1% – 5%…

ธุรกิจMulti-level Marketing (MLM) หรือ ธุรกิจขายตรง เสียภาษียังไง

ธุรกิจMulti-level Marketing (MLM) หรือ ธุรกิจขายตรง เสียภาษียังไง ธุรกิจ Multi-level Marketing (MLM) หรือ Direct Selling (ขายตรง)ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจทั่วไป เช่นเดียวกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยภาษีที่เกี่ยวข้องและวิธีการเสียภาษีมีดังนี้ เจ้าของธุรกิจประเภทนี้ต้องรู้เรื่องภาษีอะไรบ้าง 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับทางสำนักงานกรมสรรพากร ธุรกิจ MLM หรือ Direct Selling ที่จดทะเบียน VAT จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าในอัตรา 7% ของราคาสินค้าหรือบริการ ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 (แบบยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทุกเดือน 2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) หากธุรกิจ MLM จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ (หลังจากหักค่าใช้จ่าย)…

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์

3 ประเภทภาษีหลักที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Franchise ควรรู้ ถ้าต้องพูดถึงเรื่องธุรกิจแฟรนไชส์ ถือเป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาขยับขยายธุรกิจ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการแฟรนไชส์มักสงสัยคือ ภาษี ที่ต้องเสีย มีอะไรบ้าง? และต้องเสียภาษีอย่างไร? เพื่อให้เข้าใจเรื่อง ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ จะมีประเภทไหนบ้าง โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องเสียภาษีหลายประเภท ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก ได้แก่ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์ 1. ฝ่ายเจ้าของแฟรนไชส์ (franchiser) คือ ภาษีเงินได้สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ซึ่งโดยเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) จะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการให้สิทธิ์การใช้แบรนด์ ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากเจ้าของแฟรนไชส์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรที่ได้จากการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ อาทิ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ ค่ารอยัลตี้ เป็นต้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากมีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อแฟรนไชส์ ภาษีอื่นๆ: อาจมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย เป็นต้น…

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้ เป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการปรับปรุงยอดเงินที่ต้องชำระในธุรกรรมทางการค้า โดยมักเกี่ยวข้องกับการออกใบกำกับภาษี (Tax Invoice) และการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เอกสารทั้งสองประเภทนี้เป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในธุรกิจ เพื่อปรับแก้ไขการทำธุรกรรมที่มีข้อผิดพลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงในข้อตกลง โดยบทความนี้เราจะมาพูดถึง ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร กันค่ะ สารบัญ ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) คืออะไ่ร? ใบลดหนี้ (Credit Note) คืออะไร? กรณีตัวอย่างการใช้งานใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้​ ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) ถือเป็นใบกำกับภาษีชนิดหนึ่ง เป็นเอกสารที่ออกเมื่อมีการเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการ เนื่องจากสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไปนั้น “เกินกว่า” จำนวนที่ตกลงซื้อขายกันไว้ หรือให้บริการ “เกินกว่า” ข้อกำหนดที่ตกลงกัน (ส่งมอบเกิน) และผู้ซื้อสินค้าหรือบริการสามารถนำใบเพิ่มหนี้ไปยื่นเพิ่มภาษีซื้อ และผู้ออกใบเพิ่มหนี้ยื่นในส่วนภาษีขาย เหตุผลที่ต้องออก: คำนวณราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ “ต่ำกว่า” ที่เป็นจริง (คำนวณเงินขาด) มีการเพิ่มปริมาณสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบให้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้ระบุไว้ในใบกำกับภาษีเดิม เช่น ค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง ผลกระทบ: ทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น สาระสำคัญของใบเพิ่มหนี้ (Debit Note)…

ใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต่างกันอย่างไร

ใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย มีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร เอกสารใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษี แต่มีหน้าที่และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น 1. ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) วัตถุประสงค์ คือ ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการ รวมถึงมูลค่าสินค้าหรือบริการ และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้ซื้อต้องชำระ ผู้จัดทำ : ผู้ประกอบการขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รายละเอียดข้อมูลที่ระบุ เช่น  ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย รายละเอียดสินค้าหรือบริการที่ซื้อขาย จำนวนเงินรวม / ราคา ภาษีมูลค่าเพิ่ม วันที่ออกใบกำกับภาษี ความสำคัญ เช่น  เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม  ใช้เป็นหลักฐานในการเบิกค่า ใช้จ่ายทางภาษีของผู้ซื้อ ใช้ในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax Certificate) วัตถุประสงค์ คือ ใช้สำหรับพื่อแสดงจำนวนเงินภาษีเงินได้ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินได้ที่จ่ายให้แก่บุคคลอื่น เช่น …