ธุรกิจMulti-level Marketing (MLM) หรือ ธุรกิจขายตรง เสียภาษียังไง

ธุรกิจMulti-level Marketing (MLM) หรือ ธุรกิจขายตรง เสียภาษียังไง ธุรกิจ Multi-level Marketing (MLM) หรือ Direct Selling (ขายตรง)ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจทั่วไป เช่นเดียวกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยภาษีที่เกี่ยวข้องและวิธีการเสียภาษีมีดังนี้ เจ้าของธุรกิจประเภทนี้ต้องรู้เรื่องภาษีอะไรบ้าง 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับทางสำนักงานกรมสรรพากร ธุรกิจ MLM หรือ Direct Selling ที่จดทะเบียน VAT จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าในอัตรา 7% ของราคาสินค้าหรือบริการ ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 (แบบยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทุกเดือน 2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) หากธุรกิจ MLM จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ (หลังจากหักค่าใช้จ่าย)…

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์

3 ประเภทภาษีหลัก ที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Franchise ควรรู้ ถ้าต้องพูดถึงเรื่องธุรกิจแฟรนไชส์ ถือเป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาขยับขยายธุรกิจ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการแฟรนไชส์มักสงสัยคือ ภาษี ที่ต้องเสีย มีอะไรบ้าง? และต้องเสียภาษีอย่างไร? เพื่อให้เข้าใจเรื่องภาษีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ได้อย่างชัดเจนมากชึ้น สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ จะมีประเภทไหนบ้าง ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องเสียภาษีหลายประเภท ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก ได้แก่ 1. ฝ่ายเจ้าของแฟรนไชส์ (franchiser) คือ ภาษีเงินได้สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ซึ่งโดยเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) จะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการให้สิทธิ์การใช้แบรนด์ ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากเจ้าของแฟรนไชส์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรที่ได้จากการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ อาทิ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ ค่ารอยัลตี้ เป็นต้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากมีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อแฟรนไชส์ ภาษีอื่นๆ: อาจมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย เป็นต้น 2.…

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้ เป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการปรับปรุงยอดเงินที่ต้องชำระในธุรกรรมทางการค้า โดยมักเกี่ยวข้องกับการออกใบกำกับภาษี (Tax Invoice) และการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เอกสารทั้งสองประเภทนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในธุรกิจ เพื่อปรับแก้ไขการทำธุรกรรมที่มีข้อผิดพลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงในข้อตกลง ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) คือ เอกสารที่ออกเมื่อมีการเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการ เนื่องจากสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไปนั้น “เกินกว่า” จำนวนที่ตกลงซื้อขายกันไว้ หรือให้บริการ “เกินกว่า” ข้อกำหนดที่ตกลงกัน (ส่งมอบเกิน) เหตุผลที่ต้องออก: คำนวณราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ “ต่ำกว่า” ที่เป็นจริง (คำนวณเงินขาด) มีการเพิ่มปริมาณสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบให้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้ระบุไว้ในใบกำกับภาษีเดิม เช่น ค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง ผลกระทบ: ทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น ใบลดหนี้ (Credit Note) คือ เอกสารที่ออกเพื่อลดหนี้ให้กับลูกค้า โดยจะออกเมื่อมีการส่งสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า และได้ทำการออกใบกำกับภาษีแก่ลูกค้าเรียบร้อย แต่ต่อมาได้เกิดปัญหาขึ้น เช่น สินค้าหรือบริการ ได้รับไม่ครบถ้วน สินค้าเสียหาย ไม่ตรงตามที่ได้ตกลงกันไว้ มีการส่งสินค้าคืน เหตุผลที่ต้องออก: เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือปรับปรุงยอดเงินที่ต้องชำระให้ถูกต้อง เมื่อลูกค้าได้รับสินค้าหรือบริการไม่ครบถ้วนตามที่สั่งซื้อ เมื่อสินค้าหรือบริการที่ได้รับมีคุณภาพไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อมีการตกลงกันที่จะลดราคาสินค้าหรือบริการ ผลกระทบ: ทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระลดลง…

ใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต่างกันอย่างไร

ใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย มีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร เอกสารใบกำกับภาษี และ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษี แต่มีหน้าที่และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น 1. ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) วัตถุประสงค์ คือ ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการ รวมถึงมูลค่าสินค้าหรือบริการ และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้ซื้อต้องชำระ ผู้จัดทำ : ผู้ประกอบการขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รายละเอียดข้อมูลที่ระบุ เช่น  ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย รายละเอียดสินค้าหรือบริการที่ซื้อขาย จำนวนเงินรวม / ราคา ภาษีมูลค่าเพิ่ม วันที่ออกใบกำกับภาษี ความสำคัญ เช่น  เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม  ใช้เป็นหลักฐานในการเบิกค่า ใช้จ่ายทางภาษีของผู้ซื้อ ใช้ในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax Certificate) วัตถุประสงค์ คือ ใช้สำหรับพื่อแสดงจำนวนเงินภาษีเงินได้ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินได้ที่จ่ายให้แก่บุคคลอื่น เช่น …

เรื่องภาษีที่ผู้ประกอบการร้านทองควรรู้

เรื่องภาษีที่ผู้ประกอบการร้านทองควรรู้ การประกอบธุรกิจร้านทองนั้นเกี่ยวข้องกับภาษีหลายประเภท ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องและวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านทองกันค่ะว่า ประเภทภาษีนั้นสำคัญอย่างไรและมีอะไรบ้าง ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านทอง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้จากการประกอบธุรกิจโดยผู้ประกอบการร้านทองจะต้องนำรายได้จากการขายทองรูปพรรณ ค่ากำเหน็จ ค่าหลอมทองเก่า มาคำนวณภาษีเงินได้ และ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจได้ เช่น ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าซื้อทองคำ ฯลฯ อัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับฐานภาษีที่คำนวณได้ หากในกรณีหากผู้ประกอบการเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไรที่ได้จากการขายทองคำ โดยมีค่าใช้จ่ายที่สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ตามที่กฎหมายกำหนด ภาษีเงินได้นิติบุคคล หากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิของกิจการกำไรสุทธิคำนวณจากรายได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการตามที่กฎหมายกำหนดอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับระดับของกำไรสุทธิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายทองคำหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อและผู้ประกอบการจะต้องนำส่งให้กรมสรรพากร สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่น การขายทองรูปพรรณใหม่ การหลอมทองเก่า จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น การเรียกเก็บ VATผู้ประกอบการร้านทองต้องเรียกเก็บ VAT จากผู้ซื้อในอัตรากำหนด สินค้าที่ต้องเสีย VATได้แก่ ทองรูปพรรณใหม่ ค่ากำเหน็จ ค่าหลอมทองเก่า ภาษีธุรกิจเฉพาะ หากในบางกรณี เช่น การรับจำนำ การให้กู้ยืมเงิน อาจต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติมอัตราภาษีและเงื่อนไขการเสียภาษีจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ การรับจำนำในกรณีหากมีการประกอบธุรกิจรับจำนำ…

ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง

ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆและเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน นับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย สื่อโซเชียลมีเดียก็กลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับทั้งบุคคลทั่วไปและธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจออนไลน์ สื่อโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องทางในการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลอีกต่อไป แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังในการสร้างแบรนด์ สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปในทิศทางที่ยั่งยืนมั่นคงอีกด้วย บทบาทสำคัญของสื่อโซเชียลมีเดียต่อธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ ช่องทางการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและสื่อโซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม แนะนำสินค้า หรือบริการ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า สร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ของธุรกิจสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำได้ผ่านการโพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจ สร้างสรรค์ และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย  เพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ในส่วนของสื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการโปรโมตสินค้าและบริการ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค สื่อโซเชียลมีเดียมีเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถสร้างความแตกต่างและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งได้ “สื่อโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจออนไลน์ให้เติบโตและประสบความสำเร็จ ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ”“แต่อย่าลืมนะคะว่าการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในช่องทางไหนทุกๆธุรกิจที่มีเงินได้ทุกประเภทย่อมมีหน้าที่ในการรับภาระหน้าที่ในการเสียภาษีจำเป็นต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในทุกๆเดือน ตามกฎของกรมสรรพากรที่ได้กำหนดไว้ในเงินได้แต่ละเภทนั้นๆ” ธุรกิจออนไลน์จะต้องเสียภาษี 2 ประเภทหลัก คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่บุคคลธรรมดาต้องเสียจากเงินได้ทุกประเภท รวมถึงเงินได้จากการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ด้วย โดยอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินได้ที่ได้รับในแต่ละปี ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1,800,000 บาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ระยะเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี คือ? ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ภาษีมูลค่าเพิ่ม:…

อยากเป็นเจ้าของธุรกิจต้องรู้เรื่องภาษีอะไรบ้าง

อยากเป็นเจ้าของธุรกิจต้องรู้เรื่องภาษีอะไรบ้าง การเริ่มต้นธุรกิจเป็นความฝันของหลายๆ คน แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่แค่เพียงไอเดียที่ดีและความมุ่งมั่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจในกฎหมายและภาษีที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การเป็นเจ้าของกิจการนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบมากมาย หลายๆเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องให้ความสำคัญ หากคุณกำลังวางแผนที่จะเปิดธุรกิจ หรือกำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องภาษีที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการได้ดียิ่งขึ้น ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่องภาษี? การทำธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับภาระทางภาษีที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งหากไม่เข้าใจเรื่องภาษี อาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การถูกปรับ หรือการต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้น การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องของภาษีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการทุกคน ภาษีที่ผู้ประกอบการควรทราบ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคลหากคุณจดทะเบียนธุรกิจเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด คุณต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิของธุรกิจ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการ หากธุรกิจของคุณมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กำหนด คุณต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีจากลูกค้า ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีที่หักจากเงินได้ที่จ่ายให้บุคคลอื่น เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ คุณต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีที่เรียกเก็บจากกิจการบางประเภท เช่น กิจการโรงแรม ร้านอาหาร ภาษีสรรพสามิต…

ทำไมผู้ประกอบการบางรายถึงโดนภาษีย้อนหลัง?

ทำไมผู้ประกอบการบางรายถึงโดนภาษีย้อนหลัง? ถ้าให้ผู้ถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญ นั่นก็คือ การถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังนั้นเองค่ะ การโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการไม่น้อย เพราะนอกจากจะต้องชำระภาษีที่ค้างชำระแล้ว ยังอาจมีค่าปรับและดอกเบี้ยตามมาอีกด้วย ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้โดนภาษีย้อนหลัง จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนและป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุหลักที่ทำให้โดนภาษีย้อนหลัง การจดบันทึกบัญชีไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน เช่นการจดบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาภาษีย้อนหลัง เพราะเมื่อสรรพากรเข้ามาตรวจสอบ หากพบว่าข้อมูลในบัญชีไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็อาจนำไปสู่การปรับปรุงบัญชีและเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมได้ การแสดงรายได้ไม่ครบถ้วนหรือการจงใจหรือไม่จงใจที่จะไม่แสดงรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบปีภาษี ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้โดนภาษีย้อนหลัง สรรพากรมีวิธีการตรวจสอบรายได้ของผู้ประกอบการหลายวิธี เช่น การตรวจสอบบัญชีธนาคาร การสอบถามลูกค้า หรือการเปรียบเทียบรายได้กับผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกัน การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผิดประเภทหรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียด หากใช้สิทธิประโยชน์ผิดประเภทหรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็อาจถูกสรรพากรเพิกถอนสิทธิประโยชน์และเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ เช่น การควบรวมกิจการ การแบ่งแยกกิจการ หรือการโอนทรัพย์สิน อาจส่งผลกระทบต่อภาษีที่ต้องชำระ หากไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็อาจเกิดปัญหาภาษีย้อนหลังได้ การไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี คือ การไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดทางภาษี และสรรพากรมีอำนาจในการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ วิธีแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันไม่ให้โดนภาษีย้อนหลัง 1.ศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายภาษี ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายภาษีอยู่เสมอ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเมื่อมีข้อสงสัย 2.บันทึกข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียด: เก็บรักษาเอกสารหลักฐานทางการเงินให้ครบถ้วน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี สลิปเงินเดือน จดบันทึกบัญชีอย่างถูกต้องและครบถ้วนโดยจดบันทึกทุกธุรกรรมทางการเงินอย่างละเอียดและเป็นปัจจุบัน จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบัญชีอย่างสม่ำเสมอ…

ภาษี e-Service คืออะไร

ภาษี e-Service มีความสำคัญอย่างไร ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การทำธุรกรรมต่างๆหรือการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ก็กลายเป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ จากต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Netflix, Spotify, หรือ Shopee เป็นต้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การใช้บริการเหล่านี้ก็มีภาษีที่ต้องเสียเช่นกัน นั่นคือ ภาษี e-Service ภาษี e-Service คืออะไร? ภาษี e-Service หรือ ภาษีบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการซื้อสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) จากต่างประเทศ เช่น การสมัครสมาชิก Netflix, การซื้อแอปพลิเคชันบนมือถือ, การซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ต่างประเทศ เป็นต้น โดยภาษีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT%) ที่เราจ่ายกันอยู่เป็นประจำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ รวมถึงเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับทางภาครัฐในการนำรายได้จากการจักเก็บภาษีเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ทำไมต้องมีภาษี e-Service? เพื่อสร้างความเท่าเทียมและให้เกิดความเป็นธรรมทางภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศในเรื่องของภาระภาษีที่เท่าเทียมกัน เพิ่มรายได้ของภาครัฐ เพื่อนำรายได้จากการเก็บภาษี E-Service ไปใช้ในการพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น เพื่อควบคุมให้การค้าขายทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อส่งเสริมการค้าภายในประเทศโดยการจัดเก็บภาษี E-Service อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการในประเทศมากขึ้น ใครต้องเสียภาษี e-Service โดยทั่วไป ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์และมีรายได้จากการให้บริการในประเทศไทยเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บและนำส่งภาษี…

ช่วงเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภท

การยื่นภาษี คือ? การยื่นภาษีเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคน เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและทันเวลา ผู้ที่ต้องยื่นภาษีในแต่ละประเภท จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับช่วงเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภทให้ชัดเจน ช่วงเวลาในการยื่นภาษีให้ถูกต้อง ล้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนภาษีและการหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย การยื่นภาษีล่าช้าอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น เพื่อให้ผู้เสียภาษีสามารถวางแผนการยื่นภาษีได้ง่ายและถูกต้องและเข้าใจช่วงเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น เราจะมาสรุปสั้นให้ฟังค่ะว่า ช่วงเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภท มีความแตกต่างกันและมีความสำคัญอย่างไร ทำไมช่วงเวลาในการยื่นภาษีจึงสำคัญ? หลีกเลี่ยงค่าปรับที่เกิดจากการยื่นภาษีล่าช้าอาจทำให้ต้องเสียค่าปรับ วางแผนทางการเงินเพื่อให้ผู้สียภาษีรู้กำหนดเวลาในการยื่นภาษี ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการยื่นภาษีตรงตามกำหนด อาจทำให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อช่วงเวลาในการยื่นภาษี ประเภทของภาษีแต่ละประเภทของภาษีจะมีกำหนดเวลาในการยื่นที่แตกต่างกัน เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น รอบระยะเวลาบัญชีสำหรับนิติบุคคล กำหนดเวลาในการยื่นภาษีจะขึ้นอยู่กับรอบระยะเวลาบัญชีที่บริษัทกำหนด การขยายเวลาในบางกรณี กรมสรรพากรอาจมีการประกาศขยายเวลาในการยื่นภาษีออกไป เนื่องจากเหตุจำเป็น เช่น ภัยธรรมชาติ หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ช่วงเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภท การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบฯ กำหนดเวลาในการยื่นแบบฯ หมายเหตุ ภ.ง.ด.90 ม.ค. – มี.ค. ของปีถัดไป ใช้เสียภาษีเงินได้ประจําปีสําหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(2)-(8) แห่งประมวลรัษฎากรหรือมีเงินได้ฯ ตาม มาตรา 40(1) และ มาตรา…