ธุรกิจโรงแรม ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง

ธุรกิจโรงแรม ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง ทุกคนเคยสงสัยไหมคะว่า ธุรกิจโรงแรมเค้าเสียภาษีและค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง?? การดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยต้องมีการชำระภาษีและค่าธรรมเนียมหลายประเภทซึ่งเป็นข้อกำหนดตามกฎหมาย ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้บริการจำนวนมากทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้มีภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องหลากหลายรายการ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุม บทความนี้จะแนะนำภาษีและค่าธรรมเนียมหลัก ๆ ที่ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยต้องชำระ มีดังนี้ค่ะ ธุรกิจโรงแรมเสียภาษีอะไรบ้าง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินธุรกิจและประเภทของรายได้ที่ได้รับ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการโรงแรมจะต้องคำนวณภาษีจากรายได้ที่ได้รับหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นไปตามระดับรายได้ โดยมีการจัดเก็บในลักษณะของอัตราก้าวหน้า (progressive tax rates) ซึ่งหมายความว่ารายได้ที่สูงขึ้นจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น โดย ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ 91) ตามกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะต้องยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะคิดจากกำไรสุทธิที่เกิดจากการประกอบกิจการ โดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจโรงแรมทั่วไปจะอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ (ตาม พ.ร.บ. ประมวลรัษฎากร) ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจโรงแรมมีรายละเอียดสำคัญ  ภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยมีอัตรา 20% ของกำไรสุทธิที่เกิดจากการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี กำไรสุทธิจะคำนวณจากรายได้รวมหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน, ค่าเช่าสถานที่,…

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์

3 ประเภทภาษีหลัก ที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Franchise ควรรู้ ถ้าต้องพูดถึงเรื่องธุรกิจแฟรนไชส์ ถือเป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาขยับขยายธุรกิจ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการแฟรนไชส์มักสงสัยคือ ภาษี ที่ต้องเสีย มีอะไรบ้าง? และต้องเสียภาษีอย่างไร? เพื่อให้เข้าใจเรื่องภาษีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ได้อย่างชัดเจนมากชึ้น สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ จะมีประเภทไหนบ้าง ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องเสียภาษีหลายประเภท ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก ได้แก่ 1. ฝ่ายเจ้าของแฟรนไชส์ (franchiser) คือ ภาษีเงินได้สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ซึ่งโดยเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) จะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการให้สิทธิ์การใช้แบรนด์ ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากเจ้าของแฟรนไชส์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรที่ได้จากการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ อาทิ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ ค่ารอยัลตี้ เป็นต้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากมีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อแฟรนไชส์ ภาษีอื่นๆ: อาจมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย เป็นต้น 2.…

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร

ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้แตกต่างกันอย่างไร ใบเพิ่มหนี้และใบลดหนี้ เป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการปรับปรุงยอดเงินที่ต้องชำระในธุรกรรมทางการค้า โดยมักเกี่ยวข้องกับการออกใบกำกับภาษี (Tax Invoice) และการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เอกสารทั้งสองประเภทนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในธุรกิจ เพื่อปรับแก้ไขการทำธุรกรรมที่มีข้อผิดพลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงในข้อตกลง ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) คือ เอกสารที่ออกเมื่อมีการเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการ เนื่องจากสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไปนั้น “เกินกว่า” จำนวนที่ตกลงซื้อขายกันไว้ หรือให้บริการ “เกินกว่า” ข้อกำหนดที่ตกลงกัน (ส่งมอบเกิน) เหตุผลที่ต้องออก: คำนวณราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ “ต่ำกว่า” ที่เป็นจริง (คำนวณเงินขาด) มีการเพิ่มปริมาณสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบให้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้ระบุไว้ในใบกำกับภาษีเดิม เช่น ค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง ผลกระทบ: ทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น ใบลดหนี้ (Credit Note) คือ เอกสารที่ออกเพื่อลดหนี้ให้กับลูกค้า โดยจะออกเมื่อมีการส่งสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า และได้ทำการออกใบกำกับภาษีแก่ลูกค้าเรียบร้อย แต่ต่อมาได้เกิดปัญหาขึ้น เช่น สินค้าหรือบริการ ได้รับไม่ครบถ้วน สินค้าเสียหาย ไม่ตรงตามที่ได้ตกลงกันไว้ มีการส่งสินค้าคืน เหตุผลที่ต้องออก: เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือปรับปรุงยอดเงินที่ต้องชำระให้ถูกต้อง เมื่อลูกค้าได้รับสินค้าหรือบริการไม่ครบถ้วนตามที่สั่งซื้อ เมื่อสินค้าหรือบริการที่ได้รับมีคุณภาพไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อมีการตกลงกันที่จะลดราคาสินค้าหรือบริการ ผลกระทบ: ทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระลดลง…

จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(vat) vsไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(vat) vsไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม “การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มVat มีข้อดีมากมาย และยังสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย!!” แต่!!! ก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจ ว่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำคัญและดีอย่างไรกับธุรกิจของคุณ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับนั้นแตกต่างจากธุรกิจที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร วันนี้เราจะมาสรุปข้อมูลสั้นๆ เพื่อให้คนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ให้เข้าใจว่าระหว่างการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นมีความสำคัญอย่างไรและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแตกต่างจากผู้ที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร 1.เกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในทางธุรกิจ ทุกๆกิจการ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม หากมีรายได้ที่เกินเกณฑ์ที่ทางกรมสรรพากรกำหนดไว้ ต้องมีหน้าที่ในการยื่นขอขึ้นทะเบียนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากไม่ได้อยู่เกณฑ์ที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ก็สามารถขอยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หากผู้ประกอบการรายใด ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่กิจการนั้นๆ มีรายได้เกินกำหนดของกรมสรรพากร คือ 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องรีบทำการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กรมสรรพากรกำหนดเท่านั้น คือ 30 วัน นับจากวันที่มูลค่าฐานภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด หากไม่ยื่นจดทะเบียนมีความมีความเสี่ยงถูกปรับกรณีที่ประกอบธุรกิจโดยไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีโทษปรับทางกฎหมายตามที่กรมสรรพากรได้กำหนดไว้ ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศและได้รับการใช้บริการนั้นในประเทศไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.สิทธิประโยชน์ของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถขอคืนภาษีซื้อได้ หมายความว่า เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไปได้ ช่วยลดต้นทุนของธุรกิจ สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ  ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ สามารถหักภาษีซื้อจากยอดภาษีขายได้ กรณีที่มียอดขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถหักภาษีซื้อที่จ่ายไปจากยอดภาษีขายได้ ช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องชำระ สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีขนาดใหญ่ มั่นคง และปฏิบัติตามกฎหมาย มีสิทธิ์ในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ…

ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดVAT

ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการ โดยผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้เก็บภาษีจากลูกค้า และนำส่งให้กับกรมสรรพากร โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็มีบางกรณีที่ ผู้ประกอบการไม่ต้องจดทะเบียน VAT ดังนี้ 1. ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่มักเรียกกันว่า “พ่อค้าแม่ค้า” มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย พวกเขาเป็นผู้สร้างงาน นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในระดับท้องถิ่น และกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก บทความนี้มุ่งเน้นไปที่ประเภทของผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ ผู้ประกอบการแบบดั้งเดิม: แม่ค้าขายของในตลาด: พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดสด ตลาดนัด ขายสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน ฯลฯ ร้านค้าปลีก: ตั้งอยู่ในชุมชน ห้างสรรพสินค้า ห้างสรรพสินค้า ขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ผู้ให้บริการ: เช่น…