ธุรกิจMulti-level Marketing (MLM) หรือ ธุรกิจขายตรง เสียภาษียังไง
ธุรกิจ Multi-level Marketing (MLM) หรือ Direct Selling (ขายตรง)ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจทั่วไป เช่นเดียวกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยภาษีที่เกี่ยวข้องและวิธีการเสียภาษีมีดังนี้
เจ้าของธุรกิจประเภทนี้ต้องรู้เรื่องภาษีอะไรบ้าง
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- หากธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับทางสำนักงานกรมสรรพากร
- ธุรกิจ MLM หรือ Direct Selling ที่จดทะเบียน VAT จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าในอัตรา 7% ของราคาสินค้าหรือบริการ
- ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 (แบบยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทุกเดือน
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
- หากธุรกิจ MLM จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ (หลังจากหักค่าใช้จ่าย)
- ยื่นภาษีโดยใช้แบบ ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 (ภาษีครึ่งปี) เป็นประจำทุกปี
3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
- หากบุคคลที่เป็นตัวแทนจำหน่าย MLM หรือ Direct Selling มีรายได้จากค่าคอมมิชชั่น ต้องยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับถือเป็นรายได้ตามกฎหมายภาษี ต้องนำไปยื่นภาษีโดยใช้แบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ตามสถานะบุคคล
- อัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันไดตามรายได้สุทธิที่ได้รับ โดยอัตราภาษีอยู่ระหว่าง 5% ถึง 35%
4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
- ค่าคอมมิชชั่นหรือค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้ตัวแทนจำหน่าย MLM หรือ Direct Selling จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนในอัตรา 3%
- บริษัทต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายนี้ให้กรมสรรพากรโดยยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 หรือ ภ.ง.ด.53
5. ภาษีป้าย (Signboard Tax)
- หากธุรกิจมีการติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าหรือป้ายบริษัท จะต้องเสียภาษีป้ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีป้ายอัตราภาษีขึ้นอยู่กับขนาดและเนื้อหาของป้าย
การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษี
ธุรกิจ MLM หรือ Direct Selling เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เข้าร่วมควรให้ความสนใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและเพิ่มความน่าเชื่อถือในธุรกิจ นี่คือแนวทางสำคัญที่ควรพิจารณา
1.การรายงานรายได้: ผู้เข้าร่วม MLM ต้องรายงานรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากการขายสินค้าและค่าคอมมิชชั่นที่ได้จากการชักชวนสมาชิกใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมายภาษี
2.การเก็บเอกสาร: ควรจัดเก็บใบเสร็จ, สัญญา, และเอกสารทางการเงินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการรายงานภาษีและตรวจสอบ
3.การหักค่าใช้จ่าย: ผู้เข้าร่วมสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าการตลาด, ค่าขนส่ง, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า
4.การศึกษาเกี่ยวกับภาษี: ควรศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้อง การจัดส่งภาษี E-tax
5.การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี: หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อกำหนดทางภาษี ควรปรึกษานักบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง
6.การปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น: ข้อกำหนดทางภาษีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อกำหนดในพื้นที่ที่ตนเองดำเนินธุรกิจ
7.การเตรียมตัวสำหรับการตรวจสอบ: หากมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะถูกตรวจสอบ ทางภาษี ควรเตรียมตัวโดยการจัดระเบียบเอกสารและบันทึกให้เรียบร้อย
ช่องทางการจัดส่งภาษี
1.บุคคลธรรมดา
- สามารถนำส่งแบบแสดงรายการภาษีได้ที่กรมสรรพากรในเขตพื้นที่นั้นๆ
- หรือสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านข่องเว็ปไซต์ของกรมสรรพากรและระบบ e-filing
- ผ่านโปรแกรม RD Smart tax
2.นิติบุคคล
- สามารถนำส่งแบบแสดงรายการภาษีได้ที่กรมสรรพากรในเขตพื้นที่นั้นๆ
- หรือสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีในรูปแบบอิเล็กนิกส์ออนไลน์ผ่านระบบ e-filing ของกรมสรรพากร โดยดูข้อมูลการออกเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านช่องทางผู้ให้บริการระบบ etax invoice (ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์) ผู้เสียภาษีสามารถนำส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ etax invoice & e-receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์