ประเภทของอัตราภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้ เป็นหนึ่งในภาษีที่คนทำงานส่วนใหญ่ต้องพบเจอ และเป็นเรื่องที่หลายคนอาจรู้สึกสับสนและอยากเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอัตราภาษีและวิธีการคำนวณเงินได้บุคคลธรรมดา บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้ในแต่ละประเภท พร้อมตารางเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย และแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาษีเงินได้คืออะไร?
ภาษีเงินได้ คือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีรายได้ ซึ่งรายได้นี้สามารถเกิดจากการทำงาน การประกอบธุรกิจ การลงทุน หรือการได้รับทรัพย์สินอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ข้อมูลล่าสุดและถูกต้องที่สุด สามารถตรวจสอบได้จาก เว็บไซต์กรมสรรพากร หรือ หน่วยงานภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไป อัตราภาษีจะแบ่งเป็นขั้นบันได ตามระดับของเงินได้ที่ได้รับ ซึ่งหมายความว่า ยิ่งมีรายได้สูง อัตราภาษีก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ
ประเภทของอัตราภาษีเงินได้
อัตราภาษีเงินได้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ และจำนวนเงินได้ที่ได้รับ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลทั่วไป เช่น พนักงานบริษัท ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เจ้าของกิจการ หรือ นักลงทุน
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล: คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากนิติบุคคล เช่น บริษัทมหาชน จำกัด บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน จำกัด
ประเภทของเงินได้ของบุคคลธรรมดา
ประเภทของเงินได้ของบุคคลธรรมดาสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
- เงินได้จากการทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส
- เงินได้จากการประกอบธุรกิจ เช่น กำไรจากการขายสินค้าหรือบริการ
- เงินได้จากการลงทุน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล กำไรจากการขายหลักทรัพย์
- เงินได้อื่นๆ เช่น เงินรางวัล เงินชดเชย
การคำนวณภาษีเงินได้
การคำนวณภาษีเงินได้ อาจมีความซับซ้อน โดยขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ และค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้ อย่างไรก็ตาม หลักการโดยทั่วไปคือ นำเงินได้สุทธิมาเทียบกับอัตราภาษีในแต่ละขั้นบันได แล้วคำนวณภาษีที่ต้องชำระ
ตารางเปรียบเทียบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ปีภาษี 2567)
เงินได้สุทธิ (บาท) | ช่วงเงินได้สุทธิของ แต่ละขั้น | อัตราภาษี (ร้อยละ) | ภาษีสูงสุดของขั้น | ภาษีสะสมสูงสุดของขั้น |
1 – 150,000 | 150,000 | ได้รับยกเว้น | ได้รับยกเว้น | 0 |
150,001 – 300,000 | 150,000 | 5% | 7,500 | 7,500 |
300,001 – 500,000 | 200,000 | 10% | 20,000 | 27,500 |
500,001 – 750,000 | 250,000 | 15% | 37,500 | 65,000 |
750,001 – 1,000,000 | 250,000 | 20% | 50,000 | 115,000 |
1,000,001 – 2,000,000 | 1,000,000 | 25% | 250,000 | 365,000 |
2,000,001 – 5,000,000 | 3,000,000 | 30% | 900,000 | 1,265,000 |
5,000,001 บาทขึ้นไป | – | 35% | ไม่จำกัด | ไม่จำกัด |
** เงินได้สุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท ยังคงได้รับยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่470) พ.ศ.2551
ตัวอย่างคำนวณภาษีเงินได้
สมมติว่าคุณมีเงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท x 12 เดือน (ต้องคิดทั้งปี) = 360,000 บาท
ขั้นตอนแรก : นำมาหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมา 50% ของจำนวนเงินที่ได้พึงประเมินไม่เกิน 100,000 บาท* (360,000 – 100,000 = 260,000 บาท)
ขั้นตอนที่สอง : หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท + หักเงินสะสมกองทุนประกันสังคมรวมทั้งปี 9,000 บาท
(260,000 – 60,000 – 9,000 = 191,000 บาท)
ขั้นตอนที่สาม : นำจำนวนเงินได้สุทธิคูณกับอัตราภาษี จากตาราง 150,000 บาทแรกได้รับการยกเว้น
(191,000 – 150,000 = 41,000 บาท)
และนำเงินส่วนต่างที่เหลือ มาคูณอัตราภาษี 5% ในตารางอัตราภาษีขั้นที่ 2
(41,000 X 5% = 2,050 บาท)
ดังนั้น เงินภาษีที่จะต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากร เท่ากับ 2,050 บาทถ้วน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราภาษีเงินได้แต่ละประเภทเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องเสียภาษี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษีและการใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระทางภาษีและมีเงินเหลือสำหรับการออมและการลงทุนได้มากขึ้น