ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการ โดยผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้เก็บภาษีจากลูกค้า และนำส่งให้กับกรมสรรพากร โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็มีบางกรณีที่ ผู้ประกอบการไม่ต้องจดทะเบียน VAT ดังนี้
1. ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่มักเรียกกันว่า “พ่อค้าแม่ค้า” มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย พวกเขาเป็นผู้สร้างงาน นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในระดับท้องถิ่น และกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก บทความนี้มุ่งเน้นไปที่ประเภทของผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ผู้ประกอบการแบบดั้งเดิม:
- แม่ค้าขายของในตลาด: พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดสด ตลาดนัด ขายสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน ฯลฯ
- ร้านค้าปลีก: ตั้งอยู่ในชุมชน ห้างสรรพสินค้า ห้างสรรพสินค้า ขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
- ผู้ให้บริการ: เช่น ช่างตัดผม ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่างเย็บผ้า รับทำอาหาร ฯลฯ
ผู้ประกอบการออนไลน์:
- พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์: ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Shopee, Lazada ฯลฯ ขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ในบ้าน สินค้าแฟชั่น ฯลฯ
- ผู้ให้บริการออนไลน์: เช่น รับออกแบบกราฟิก เขียนบทความ แปลภาษา รับทำ SEO ฯลฯ
ผู้ประกอบการแบบ Gig Economy:
- พนักงานขับขี่รถรับจ้าง: เช่น Grab, Uber, Foodpanda, Lineman ฯลฯ
- พนักงานส่งอาหาร: เช่น GrabFood, Foodpanda, Lineman ฯลฯ
- ผู้ให้บริการอื่นๆ: เช่น ช่างทำความสะอาด พนักงานเสิร์ฟ พนักงานขาย ฯลฯ
ผู้ประกอบการหน้าใหม่:
- สตาร์ทอัพ: ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น มักมีนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
- ผู้ประกอบการทางสังคม: มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม ชุมชน
ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19:
- ผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการ: พยายามหาวิธีปรับตัว ขายสินค้าออนไลน์ หรือหางานใหม่
- ผู้ประกอบการที่รายได้ลดลง: พยายามลดต้นทุน หาช่องทางขายสินค้าใหม่ ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
แม้ว่าจะมีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ตัวอย่างสินค้าหรือบริการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น
– สินค้าเกษตร เช่น ขายพืชผลทางการเกษตร, ขายปุ๋ย
– หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ตำราเรียน
– น้ำมันเชื้อเพลิง
– บริการด้านการศึกษา
– บริการด้านการรักษาพยาบาล
– ให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ และอื่น ฯลฯ
3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
ตัวอย่างบริการ เช่น
- บริษัทรับออกแบบเว็บไซต์จากต่างประเทศ
- บริการแปลภาษา
- บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ฯลฯ
- บริษัทซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ
- บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดจากต่างประเทศ
ข้อดีของการไม่ต้องจดทะเบียน VAT
- ไม่ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า หรือหมายถึงผู้บริโภคสินค้าและบริการจ่ายที่ราคาแบบไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
- ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน ค่าบัญชี และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อเสียของการไม่ต้องจดทะเบียน VAT
- เสียเปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจเพราะไม่สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบให้กับลูกค้าธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบในการประมูลงาน หรือในการค้าขายกับธุรกิจอื่นๆ
- ความเสี่ยงทางกฎหมายอาจถูกปรับหากไม่จดทะเบียน VAT เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดถึง8 ล้านบาทต่อปี
- และต้องมีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีซื้อและภาษีขาย (ภพ.30)ใน ทุกวันที่15 หรือสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ภายในวันที่ 23 ของทุกๆเดือน โดยไม่ได้จำกัดว่าภายในเดือนนั้นๆจะมียอดจากการซื้อขายเท่าไหร่ก็ตาม หากมีการยื่นภาษีเงินได้ไม่ตรงตามเวลาที่กำหนด ผู้เสียภาษีเงินได้อาจจะถูกปรับตามกฏของกรมสรรพากรอีกด้วย
- ไม่สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไปกับการซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อนำมาใช้ในธุรกิจได้
ซึ่งการยื่นภาษีดังกล่าว ก็จะมีช่องทางค่อยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้บริการระบบ e-tax ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (eTax Invoice) ผ่านช่องทาง eTax service provider เพื่อช่วยลดหย่อนเวลาในการทำงาน ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ และ ค้นหาได้ง่าย สะดวก ให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามมาตรฐานของกรมสรรพากร สร้างความปลอด สร้างความมั่นใจกับทางผู้ใช้บริการ etax
ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ไม่สามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไปกับการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียน VAT ไปขอคืนภาษีได้ ผู้ประกอบการควรพิจารณาให้รอบคอบว่าควรจดทะเบียน VAT หรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ รายได้ ลูกค้า และปัจจัยอื่นๆ
ตารางสรุปผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ประเภท | รายละเอียด | ตัวอย่าง |
1. ผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
| – ผู้ประกอบการที่มี ยอดขายรวม สินค้าหรือให้บริการ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี – รวม สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
| – ร้านขายเสื้อผ้ารายได้ต่อปี 1.5 ล้านบาท – ร้านอาหารรายได้ต่อปี 1.7 ล้านบาท – ช่างซ่อมรถรายได้ต่อปี 1.2 ล้านบาท
|
2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม | – ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการตามประเภทที่ กฎหมายกำหนดไว้ – โดยไม่คำนึงถึง ยอดขาย | – ขายพืชผลทางการเกษตร – ขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต – ขายปุ๋ย – ขายปลาป่น อาหารสัตว์ – ให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ – ให้บริการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ – ให้บริการของนักแสดงสาธารณะ – ให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ |
3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร | – ผู้ประกอบการที่ จดทะเบียนในต่างประเทศ และให้บริการจากต่างประเทศ – ผู้ใช้บริการอยู่ในประเทศไทย | – บริษัทซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ – บริษัทรับออกแบบเว็บไซต์จากต่างประเทศ – บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดจากต่างประเทศ |
ตามกฎหมายภาษีของไทยแล้ว ผู้ประกอบการบางประเภทได้รับการยกเว้นจากการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ โดยหลักๆ แล้ว ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจด VAT จะมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด เช่น (ไม่เกิน 1.8 ล้านาทต่อปี) หรือมีลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นตามกฎหมายเป็นต้น