ใบกำกับภาษีโรงแรม ที่เจ้าของกิจการควรรู้! สรุปจบภายใน 3 นาที
การทำธุรกิจโรงแรมไม่ใช่แค่การบริหารห้องพักหรือบริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เจ้าของกิจการไม่ควรมองข้าม นั่นคือ “ใบกำกับภาษี” ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญของกิจการที่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเป็นเอกสารสำคัญที่ลูกค้าต้องการนำไปใช้เป็นหลักฐานทางภาษี เช่น ลูกค้านิติบุคคลต้องการนำเอกสารไปลงภาษีซื้อ หรือ บุคคลธรรมดานำไปลดหย่อนภาษีในช่วงมาตรการของรัฐ หลายโรงแรม โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก มักสับสนระหว่าง ใบเสร็จรับเงิน และ ใบกำกับภาษี รวมถึงไม่แน่ใจว่าควรออกเอกสารแบบใดให้ลูกค้า เพื่อไม่ให้ลูกค้าพลาดสิทธิประโยชน์ทางภาษี และป้องกันไม่ให้ธุรกิจโดนภาษีย้อนหลัง บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับ “ใบกำกับภาษีโรงแรม ที่เจ้าของกิจการควรรู้! สรุปจบภายใน 3 นาที” กันค่ะ
ก่อนอื่นเลย เรามาทำความเข้าใจกับ “ใบกำกับภาษี” กันก่อนค่ะ
ใบกำกับภาษี คือ เอกสารที่โรงแรมต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งเมื่อมีการขายสินค้าและบริการ เช่น ค่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่าใช้บริการสปา หรือบริการเสริมอื่น ๆ โดยเอกสารนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ยืนยันรายได้ของโรงแรม และให้ลูกค้านำไปใช้เป็นหลักฐานทางภาษี
ธุรกิจโรงแรม ออกใบกำกับภาษี เมื่อไร?
โดยหลักแล้ว โรงแรมต้องออกใบกำกับภาษีใน วันที่ได้รับเงินค่าบริการ หรือ วันที่ให้บริการ แล้วแต่กรณี เพื่อให้ถูกต้องตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นหลักฐานที่ลูกค้านำไปใช้หักภาษีซื้อได้ (หากเป็นนิติบุคคล)
ความแตกต่างระหว่าง ใบเสร็จรับเงิน กับ ใบกำกับภาษี
เรื่องที่ผู้ประกอบการโรงแรมมักสับสนคือ “ใบเสร็จรับเงิน” กับ “ใบกำกับภาษี” ซึ่งจริง ๆ แล้วมีความหมายและหน้าที่ต่างกันชัดเจน ดังนี้
- ใบเสร็จรับเงิน
- ผู้ประกอบการจะสามารถออกใบเสร็จรับเงินได้ก็ต่อเมื่อได้รับเงินจากการซื้อขายสินค้าและบริการเท่านั้น
- ใบกำกับภาษี
- กิจการที่สามารถออกใบกำกับภาษีได้ จะต้องเป็นกิจการหรือธุรกิจที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เท่านั้น
ตารางความแตกต่างระหว่างใบเสร็จรับเงินกับใบกำกับภาษี
รายการ | ใบเสร็จรับเงิน | ใบกำกับภาษี |
วัตถุประสงค์ | เอกสารที่ยืนยันการรับเงิน | เอกสารที่ใช้เพื่อเสียภาษี |
ผู้มีสิทธิออกเอกสาร | ร้านค้าหรือธุรกิจ | ผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) |
สาระสำคัญ | 1. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ออกใบรับ 2. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้ออกใบรับ 3. เลขลำดับของเล่มและของใบรับ 4. วัน เดือน ปี ที่ออกใบรับ 5. จำนวนเงินที่รับ 6. ชนิด ชื่อ จำนวนและราคาสินค้า ในกรณีการขายหรือให้เช่าซื้อสินค้าเฉพาะชนิดที่มีราคาตั้งแต่ หนึ่งร้อยบาทขึ้นไป | 1. คำว่า “ใบกำกับภาษี” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด 2. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการ จดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี และในกรณีที่ตัวแทนเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีในนามของผู้ประกอบการจดทะเบียน ตามมาตรา 86 วรรคสี่หรือมาตรา 86/2 หรือผู้ทอดตลาดเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีในนามของผู้ประกอบการจดทะเบียน ตามมาตรา 86/3 ให้ระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของตัวแทนนั้นด้วย 3. ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ 4.หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขลำดับของเล่ม (ถ้ามี) 5. ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ 6. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าและหรือของบริการให้ชัดแจ้ง 7. วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี 8. ข้อความอื่นที่อธิบดีกำหนด |
ความสำคัญ | หลักฐานการเงินภายใน | เอกสารภาษีที่มีกฎหมายกำหนดบังคับ |
ที่มา:
ใครต้องออกใบกำกับภาษีระหว่าง โรงแรม กับ ตัวแทน ?
โรงแรม ต้องเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีค่ะ เนื่องจากโรงแรมเป็นผู้ให้บริการแก่ผู้เข้าพัก ส่วนตัวแทน (OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com) มีหน้าที่เพียงช่วยหาลูกค้าและรับค่าคอมมิชชั่น ดังนั้น โรงแรมต้องออกใบกำกับภาษีเต็มจำนวนให้ลูกค้า โดยระบุชื่อลูกค้า ชื่อโรงแรม และยอดรวมของค่าบริการที่ต้องชำระค่ะ
ตัวอย่าง ใบกำกับภาษีโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนมาใช้ e-Tax Invoice & e-Receipt ให้การออกใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบ EtaxEasy
ปัจจุบันโรงแรมสามารถเลือกใช้ e-Tax Invoice & e-Receipt แทนเอกสารกระดาษได้แล้ว ข้อดีคือ
- ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านกระดาษและการจัดเก็บ
- ลดความผิดพลาดจากการกรอกข้อมูล
- ส่งตรงเข้าสู่ระบบสรรพากรอย่างปลอดภัย
- สร้างภาพลักษณ์โรงแรมให้ทันสมัย น่าเชื่อถือ และใส่ใจสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนจากเอกสารกระดาษมาใช้ EtaxEasy ช่วยให้ธุรกิจของคุณทันสมัย ลดความผิดพลาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า หากคุณกำลังมองหาวิธีจัดการ e-Tax Invoice & e-Receipt ที่ทั้งง่าย ปลอดภัย และถูกต้องตามมาตรฐาน EtaxEasy คือคำตอบที่เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจยุคใหม่







