เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 เช็ก ขั้นตอน เงื่อนไข สำหรับผู้ประกอบการ
หลังจากช่วงโควิด-19 หลายธุรกิจโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก และกิจกรรมท้องถิ่นต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก รัฐบาลจึงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวในประเทศ หนึ่งในโครงการที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ออกเดินทาง พร้อมสนับสนุนร้านค้าผ่านการ “ช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง”
สำหรับผู้ประกอบการแล้ว นี่คือโอกาสสำคัญในการ เพิ่มยอดขาย ดึงดูดลูกค้าใหม่ และฟื้นรายได้ในระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งหากคุณยังไม่เข้าใจว่า “เที่ยวไทยคนละครึ่งคืออะไร?” หรือจะเข้าร่วมอย่างไร ใครลงทะเบียนได้บ้าง รวมถึงเอกสารที่ต้องเตรียมพร้อม บทความนี้รวบรวมคำตอบไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ
เที่ยวไทยคนละครึ่ง คืออะไร?
“เที่ยวไทยคนละครึ่ง” คือหนึ่งในโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลที่มุ่งกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงโลว์ซีซั่น ช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยประชาชนลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 สามารถจองและชำระเงินค่าที่พักภายในเวลา 23.00 น. ของวันเดียวกัน โดยสามารถใช้สิทธิหลังจากการจองและชำระเงิน อย่างน้อย 3 วัน และเช็กเอาต์วันสุดท้ายของโครงการภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 โดยร่วมแบ่งค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐกับประชาชน เพื่อให้คนไทยออกมาท่องเที่ยว ใช้จ่าย และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น
ในโครงการนี้ รัฐบาลจะช่วยออกเงินให้ ครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่าย (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) เมื่อประชาชนใช้จ่ายกับ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก โรงแรม ที่พัก รถเช่า หรือกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วประเทศไทย
โดยมี timeline ตลอดทั้งโครงการดังนี้
เที่ยวไทยคนละครึ่ง ผู้ประกอบการเข้าร่วมอย่างไร?
เปิดลงทะเบียนตั้งแต่ 25 มิ.ย. 2568 เวลา 00.01 น.
- เว็บไซต์ thai.tourismthailand.org
- เว็บไซต์ partner.tat.or.th
คู่มือสำหรับผู้ประกอบการ
ใครลงทะเบียนได้บ้าง?
ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านช่องทางของ ททท. ได้แก่:
- โรงแรม/ที่พัก
- ร้านอาหาร
- ร้านของที่ระลึก (OTOP)
- แหล่งท่องเที่ยว/กิจกรรม
- สปา/นวดเพื่อสุขภาพ
- รถเช่า/เรือเช่า ฯลฯ
รายการเอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ประกอบการ
โรงแรม / ที่พัก / รีสอร์ท (บุคคลธรรมดา / นิติบุคคล)
1.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)
2.ใบอนุญาตประกอบการของกระทรวงมหาดไทย (ถ้ามี)
3.Rate Plan หรือแผนราคาที่พัก (ถ้ามี)
4.เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
ร้านอาหาร (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล)
1.ใบจดทะเบียนการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า /DBD)
2.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (ถ้ามี)
ร้าน OTOP (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล)
1.ใบอนุญาตประกอบการและประเภทกิจการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
2.ใบจดทะเบียนการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / DBD)
3.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (ถ้ามี)
รถเช่า/เรือเช่า (เฉพาะนิติบุคคล)
1.ใบจดทะเบียนการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / DBD)
2.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (ถ้ามี)
รถ: ใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารซึ่งออกโดยกรมการขนส่งทางบก
เรือ: ใบอนุญาตใช้เรือ ซึ่งออกโดยกรมเจ้าท่า
แหล่งท่องเที่ยว/สถานที่ท่องเที่ยว (เฉพาะนิติบุคคล)
1.ใบจดทะเบียนการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / DBD)
2.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (ถ้ามี)
สปา/นวดเพื่อสุขภาพ (เฉพาะนิติบุคคล)
1.ใบจดทะเบียนการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / DBD)
2.ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานประกอบกิจการเพื่อสุขภาพซึ่งออกโดยกระทรวงสาธารณสุข
3.ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (ถ้ามี)
*กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารทุกฉบับเป็นฉบับที่ถูกต้องและยังไม่หมดอายุ และรองรับเฉพาะไฟล์ PDF ขนาดไม่เกิน 5 MB
เที่ยวไทยคนละครึ่ง รัฐสนับสนุนอะไรบ้าง?
รัฐจะสนับสนุนเงินค่าที่พักให้แก่ประชาชนผู้ไดรับสิทธิ จำนวน 500,000 สิทธิ โดยรัฐจะจ่ายเงินให้แก่โรงแรม/ที่พักโดยตรง หลังจากประชาชนผู้ได้รับสิทธิได้เช็กเอาต์ออกจากโรงแรม/ที่พัก โดยโรงแรม/ที่พักจะต้องกดเช็กเอาต์ ผ่านแอปพลิเคชั่น Amazing ในรูปแบบ PWA (Progressive web application) โดยทำงานร่วมกับ https://app.tat.or.th ดังนี้
เมืองหลัก
-วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐสนับสนุนในอัตราร้อยละ 50 ของราคาสุทธิ แต่ไม่เกิน 3,000 ต่อห้อง/เตียงต่อคืน
-วันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์ รัฐสนับสนุนในอัตราร้อยละ 40 ของราคาสุทธิ แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้อง/เตียงต่อคืน
เมืองน่าเที่ยว
-รัฐสนับสนุนในอัตราร้อยละ 50 ของราคาสุทธิ แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้อง/เตียงต่อคืนทุกวัน
-ประชาชนจะได้รับสิทธิคนละ 5 สิทธิโดยแบ่งเป็นการใช้สิทธิในเมืองหลัก จำนวน 3 สิทธิและการใช้สิทธิในเมืองน่าเที่ยว จำนวน 2 สิทธิและได้รับคูปองมูลค่า 500 บาทต่อสิทธิ
การจัดเก็บเอกสารของผู้ประกอบการตามโครงการฯ
ผู้ประกอบการมีหน้าที่จัดเก็บเอกสารไว้เพื่อากรตรวจสอบเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี นับจากวันที่เช็กเอาต์หรือวันที่มีการใช้บริการดังนี้
ผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พัก เอกสารที่ต้องจัดเก็บประกอบด้วย
1.สำเนาบัตรประชาชนของผู้ใช้สิทธิและผู้เข้าพักทุกคน หรือข้อมูลบัตรประชาชนของผู้ใช้สิทธิและผู้เข้าพักทุกคนที่จัดเก็บในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
2.ใบลงทะเบียนผู้พัก
3.ภาพถ่ายผู้ใช้สิทธิในกรณียืนยันตัวตนผ่านระบบ ThaiID ไม่ผ่าน โดยเป็นภาพถ่ายใบหน้าของผู้ใช้สิทธิในขณะทำการเช็กอินและขณะทำการเช็กเอาต์และต้องแสดงให้เห็นสถานที่ของโรงแรม/ที่พักขณะทำการเช็กอินและเช็กเอาต์ด้วย
ผู้ประกอบการประเภทกิจการ ร้านอาหาร / สถานที่ท่องเที่ยว / OTOP และผู้ประกอบการบริการที่เข้าร่วมโครงการ เอกสารที่ต้องจัดเก็บประกอบด้วย
1.ใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการได้รับเงิน
2.รายการสินค้าหรือบริการ
3.เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่มา / ข้อมูลเพิ่มเติม: เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com
เสริมความพร้อมด้วยระบบ e-Tax ช่วยจัดการเอกสารภาษีได้สะดวกขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” การจัดเตรียมเอกสารภาษีให้ครบถ้วนและตรวจสอบได้ง่ายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การเปลี่ยนมาใช้ ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) จะช่วยลดภาระงานเอกสาร ลดต้นทุนการพิมพ์ และเพิ่มความมั่นใจว่าการออกเอกสารถูกต้องตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ทั้งยังรองรับการส่งเอกสารออนไลน์ให้ลูกค้าได้ทันที ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมรองรับการตรวจสอบย้อนหลังในกรณีที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบภายหลัง
👉 หากคุณยังไม่มีระบบออก e-Tax หรือไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
ETAXEASY มีบริการออกแบบและติดตั้งระบบ e-Tax สำหรับธุรกิจทุกประเภท พร้อมทีมที่ปรึกษาดูแลครบจบในที่เดียว
📩 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่







