ผู้ประกอบการมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจจะกำลังหาข้อมูลว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร? ต้องไปจดภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่ และใครต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น รวมถึงมีวิธีในการคำนวณอย่างไร บทความนี้จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านไปทำความเข้าใจกับ ภาษีมูลค่าเพิ่มกันค่ะ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร?
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใดๆ ก็ตาม หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี และมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน (หากไม่เกินก็ขอจดทะเบียนได้)
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ ผู้ประกอบการทุกคน ไม่ว่าจะขายอะไรหรือดำเนินธุรกิจแบบใดก็ตาม หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ท่านมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม นั่นเอง
คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังจะยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อาจจะสงสัยว่าจะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไรดี? จะสามารถบวก VAT 7% เข้าไปในราคาสินค้าได้เลยหรือไม่? หรือมีวิธีการคำนวณอย่างไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้วมีวิธีคำนวณ 2 แบบค่ะ
แบบที่ 1 คำนวณแบบพื้นฐาน หรือ บวก VAT 7%
แบบที่ 2 วิธีถอด VAT จากราคาที่รวม VAT แล้ว
วิธีคำนวณแบบพื้นฐาน
- เป็นการคำนวณจากราคาที่ยังไม่รวมภาษีมูลเพิ่ม
- คำนวณได้จาก: ราคาสินค้าก่อน VAT x 7%
- ตัวอย่าง: ราคาสินค้าก่อนรวม VAT 100 บาท
- VAT = 100 x 7% = ประมาณ 7 บาท (6.54 บาท)
- ราคารวม VAT 107 บาท
นั่นหมายความว่า แต่เดิมท่านขายสินค้าในราคา 100 บาท แต่เมื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น 7 บาท เป็น 107 บาทนั่นเอง โดย VAT 7% ที่เก็บจากผู้บริโภคมา ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากร (โดยคำนวณจาก ภาษีขาย – ภาษีซื้อ)
วิธีคำนวณแบบถอด VAT จากราคาที่รวม VAT แล้ว
- เป็นการคำนวณโดยถอด VAT จากราคาสินค้าเดิมของผู้ขายสินค้าและบริการ
- คำนวณได้จาก: ราคารวม VAT x 7/107
- ตัวอย่าง: ราคาสินค้าก่อนรวม VAT 100 บาท
- VAT = 100 x 7/107 = ประมาณ 7 บาท (6.54 บาท)
- ราคารวม VAT 100 บาท รายได้ 93 บาท
นั่นหมายความว่า เมื่อผู้ประกอบการได้จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว แต่ยังคงขายสินค้าและบริการในราคาเท่าเดิม จะทำให้มีรายได้ลดลงจากเดิม 7% เพราะต้องนำส่ง VAT 7% แก่กรมสรรพากร (โดยคำนวณจาก ภาษีขาย – ภาษีซื้อ)
ซึ่งการตั้งราคาสินค้าเป็นกลยุทธิ์สำคัญในการแข่งขันในตลาด ผู้ประกอบการควรมีการวางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ เมื่อมีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะได้ไม่เสียโอกาสในการแข่งขันในด้านราคาภายในตลาด

ภาษีซื้อ ภาษีขาย คืออะไร?
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการต้องนำส่งกรมสรรพากร คำนวณจากการนำภาษีขายทั้งเดือนมาหักด้วยภาษีซื้อทั้งเดือน หากมีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ให้ชำระภาษีส่วนต่างนั้น หากมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย จะขอคืนภาษีส่วนต่างเป็นเงินสด หรือยกไปเครดิตภาษีในเดือนถัดไปก็ได้ ดังตารางนี้
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = | ภาษีขาย – ภาษีซื้อ |
หากภาษีขาย > ภาษีซื้อ = | ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ |
หากภาษีขาย < ภาษีซื้อ = | ภาษีที่มีสิทธิขอคืนหรือขอเครดิตภาษี |
ภาษีขาย หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เมื่อมีการขายสินค้าหรือรับค่าบริการ
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ภาษีขาย คือ VAT 7% ที่ธุรกิจของเราเก็บจากลูกค้ามานั่นเอง
ภาษีซื้อ หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้จ่ายให้กับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตน ภาษีซื้อที่จะนำมาหักได้นี้คลุมไปถึงภาษีซื้อของสินค้าประเภททุนด้วย
หรือจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ภาษีซื้อ คือ VAT 7% ที่ธุรกิจของเราจ่ายให้กับธุรกิจอื่นที่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
(อ่านเพิ่มเติม: ภาษีซื้อ ภาษีขาย คืออะไร?)
โดยหน้าที่ของผู้ประกอบการเมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต้องออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า และรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายทุกเดือน รวมทั้งยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 30 เป็นรายเดือนทุกเดือนภาษี ไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือให้บริการในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม โดยให้ยื่นแบบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (ปฏิทินภาษีอากร – กรมสรรพากร)
หน้าที่ของผู้ประกอบการจด VAT
1.เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และออกใบกำกับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งได้แก่
(1) รายงานภาษีซื้อ
(2) รายงานภาษีขาย
(3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
3.ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
ทำความรู้จักกับ ‘ใบกำกับภาษี’
ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) เป็นเอกสารสำคัญของผู้ประกอบการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ต้องออกให้กับลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ซึ่งใบกำกับภาษีนี้จัดทำขึ้น เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า บริการ และแสดงจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บเพิ่มจากผู้ซื้อในการขายสินค้า หรือให้บริการแต่ละครั้ง นั่นเอง
เมื่อมีการออกใบกำกับภาษีแล้ว ผู้ประกอบการต้องส่งมอบใบกำกับภาษีฉบับจริงนั้นให้กับลูกค้า และจัดเก็บสำเนาใบกำกับภาษีนั้นไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ปัจจุบันกรมสรรพากรมีการสนับสนุนให้จัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนใบกำกับภาษีจากรูปแบบ “กระดาษ” เป็น “ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งสามารถลดภาระและต้นทุนในการออกใบกำกับภาษีและจัดเก็บสำเนาเอกสารได้
ประเภทของใบกำกับภาษี
ปัจจุบันกรมสรรพากรได้แบ่งใบกำกับภาษีออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
- ใบกำกับภาษีอย่างย่อ
- ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
- ใบเพิ่มหนี้
- ใบลดหนี้
- ใบเสร็จรับเงินที่ส่วนราชการออกให้ในการขายทอดตลาด
- ใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรที่ออกให้สำหรับการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากร หรือกรมสรรพสามิตออกให้ในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
(อ่านเพิ่มเติม – ใบกำกับภาษี คืออะไร?)
หากทำธุรกิจที่อยู่ในข่ายต้องจดทะเบียนฯ แต่ไม่ได้จดทะเบียนจะต้องมีความผิดอย่างไร?
- ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- เสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากยอดขายสินค้าหรือบริการ ตั้งแต่วันที่มีหน้าที่จดทะเบียนฯ เพื่อเป็นผู้ประกอบการฯ
- เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือนภาษี
- เสียเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ
- ไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บในขณะที่ยังไม่ได้จดทะเบียนฯ ไปหักออกจากภาษีที่ต้องชำระได้ (ภาษีขาย)