
หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ภาษีซื้อต้องห้าม คืออะไร? หากอธิบายง่ายๆ ก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ไม่สามารถนำมาหักออกจากภาษีขายได้ตามที่กฎหมายกำหนด ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจัดเก็บจากลูกค้าและนำส่งให้กรมสรรพากร โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการมาหักออกจากภาษีขายได้ แต่ในบางกรณี ภาษีซื้อบางประเภทไม่สามารถนำมาหักออกได้ ซึ่งเราจะเรียกภาษีซื้อประเภทนี้ว่า “ภาษีซื้อต้องห้าม” การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีซื้อต้องห้ามจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร
ความหมายของ ภาษีซื้อต้องห้าม
ภาษีซื้อต้องห้าม หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการซื้อสินค้าและบริการบางประเภทที่ไม่เข้าเงื่อนไขในการนำมาหักออกจากภาษีขาย ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5 โดยภาษีซื้อลักษณะนี้ไม่สามารถใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการจะไม่สามารถนำภาษีซื้อดังกล่าวไปใช้ลดหย่อนภาษีขายได้ แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงก็ตาม การเข้าใจถึงข้อกำหนดเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดทำบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง ลดความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่ค่าปรับหรือปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
ภาษีซื้อ (Input Tax) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ชำระเมื่อซื้อสินค้า บริการ หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการประกอบกิจการ โดยผู้ประกอบการสามารถนำภาษีซื้อนี้มาหักออกจากภาษีขายที่ต้องชำระให้กับกรมสรรพากร อย่างไรก็ตาม การนำภาษีซื้อมาหักภาษีขายได้นั้น จำเป็นต้องเป็นภาษีซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมาย หนึ่งในกรณีที่ภาษีซื้อไม่สามารถนำมาหักภาษีขายได้ คือ ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี
ผู้มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี
ตามกฎหมาย ผู้ที่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับกรมสรรพากรเท่านั้น หากผู้ขายสินค้า หรือผู้ให้บริการไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ได้ออกใบกำกับภาษีให้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และใบกำกับภาษีนั้นจะถือว่าไม่มีผลทางกฎหมาย ผู้ซื้อไม่สามารถนำภาษีซื้อจากใบกำกับภาษีดังกล่าวมาหักออกจากภาษีขายได้
ประเภทของ ภาษีซื้อต้องห้าม
1.กรมสรรพากรกำหนดประเภทของภาษีซื้อต้องห้ามไว้ชัดเจน ซึ่งรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ภาษีซื้อจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่มีใบกำกับภาษีอย่างถูกต้อง เช่น ใบกำกับภาษีไม่สมบูรณ์ ไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือไม่มีรายละเอียดที่จำเป็นครบถ้วน
2.ภาษีซื้อจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ
หากมีการซื้อสินค้าและบริการที่ไม่ได้นำมาใช้ในกิจการ เช่น การซื้อสินค้าส่วนตัว ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นจะถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
3.ภาษีซื้อจากค่าใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดให้เป็นภาษีซื้อต้องห้ามโดยเฉพาะ เช่น
ค่ารับรองหรือค่าเลี้ยงรับรองลูกค้า
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง (ยกเว้นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์)
การซื้อสินค้าหรือบริการที่นำไปบริจาคหรือให้ฟรี
4.ภาษีซื้อจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น
หากการซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ อยู่ในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นก็จะไม่สามารถนำมาหักภาษีขายได้
5.ภาษีซื้อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายจริง เช่น
ในกรณีที่มีการซื้อสินค้าแต่ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงิน หรือหลักฐานไม่ชัดเจน ภาษีซื้อดังกล่าวจะไม่สามารถนำมาใช้หักภาษีขายได้
ทำไมต้องมี ภาษีซื้อต้องห้าม?
เหตุผลหลักของการกำหนดภาษีซื้อต้องห้ามคือเพื่อป้องกันการใช้ภาษีซื้อในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ รวมถึงช่วยให้การจัดเก็บภาษีของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสในการทุจริตทางภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการนำภาษีซื้อที่ไม่ถูกต้องมาใช้หักออกจากภาษีขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการออกใบกำกับภาษีปลอม หรือมีการแอบอ้างค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี
หลักเกณฑ์การพิจารณา ภาษีซื้อต้องห้าม
ในการพิจารณาว่าภาษีซื้อประเภทใดที่เป็นภาษีซื้อต้องห้าม จะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้:
ความเกี่ยวข้องกับกิจการ หากสินค้าและบริการที่ซื้อมามีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจโดยตรง ภาษีซื้อดังกล่าวอาจสามารถนำมาหักจากภาษีขายได้ แต่หากเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ส่วนตัวของเจ้าของกิจการ หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจ จะถูกจัดเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
เอกสารหลักฐานที่ถูกต้อง ใบกำกับภาษีต้องออกโดยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องมีข้อมูลครบถ้วน เช่น ชื่อและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขายและผู้ซื้อ รายละเอียดสินค้าและจำนวนเงินที่ถูกต้อง หากขาดข้อมูลที่สำคัญ อาจถูกพิจารณาว่าเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
ประเภทสินค้าและบริการ กรมสรรพากรกำหนดว่าสินค้าหรือบริการบางประเภท เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าใช้จ่ายบันเทิง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นภาษีซื้อต้องห้าม
วิธีปฏิบัติเมื่อพบ ภาษีซื้อต้องห้าม
ผู้ประกอบการควรแยกภาษีซื้อที่เป็นภาษีซื้อต้องห้ามออกจากภาษีซื้อปกติ และบันทึกบัญชีให้ถูกต้องชัดเจน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ. 30) และเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมายภาษีอากร
ประเภทภาษีซื้อต้องห้าม | รายละเอียด | ตัวอย่าง |
ไม่มีใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง | ใบกำกับภาษีไม่สมบูรณ์ เช่น ไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือรายละเอียดอื่นไม่ครบถ้วน | ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ออกใบเสร็จแทนใบกำกับภาษี |
ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ | การซื้อสินค้า/บริการที่ไม่ได้ใช้ในกิจการเพื่อการประกอบธุรกิจ | ซื้อของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า หรือเครื่องสำอาง |
ค่าใช้จ่ายต้องห้ามตามกฎหมาย | ค่าใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าไม่ให้หักภาษีซื้อออกจากภาษีขาย เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง, ค่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล | – ค่ารับรองลูกค้า (ค่าอาหารและเครื่องดื่ม) – ค่าน้ำมันรถยนต์นั่งส่วนบุคคล |
สินค้าหรือบริการที่ได้รับยกเว้น VAT | การซื้อสินค้าหรือบริการที่อยู่ในหมวดหมู่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม | การซื้อหนังสือเรียนหรือบริการการศึกษา |
ไม่มีหลักฐานการจ่ายจริง | ไม่มีเอกสารยืนยันการซื้อขายหรือการชำระเงินที่ชัดเจน | ซื้อสินค้าจากร้านค้าแต่ไม่มีใบเสร็จหรือหลักฐานการจ่ายเงิน |
แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีซื้อต้องห้าม ผู้ประกอบการควรดำเนินการดังนี้:
ตรวจสอบใบกำกับภาษีทุกครั้ง ก่อนนำไปใช้หักภาษีซื้อ
แยกบัญชีภาษีซื้อต้องห้ามออกจากภาษีซื้อปกติ
ศึกษากฎหมายภาษีและข้อกำหนดของกรมสรรพากรอย่างสม่ำเสมอ
ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อผิดพลาดทั่วไปเกี่ยวกับ ภาษีซื้อต้องห้าม ที่ผู้ประกอบการควรหลีกเลี่ยง
1. การใช้ใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้อง หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการใช้ใบกำกับภาษีที่ไม่สมบูรณ์ หรือออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย กรมสรรพากรกำหนดว่าใบกำกับภาษีต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน เช่น ชื่อและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รายละเอียดสินค้าและบริการ จำนวนเงิน และวันที่ออกใบกำกับภาษี หากเอกสารไม่ครบถ้วนหรือออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ จะถูกพิจารณาว่าเป็นภาษีซื้อต้องห้าม และไม่สามารถนำมาหักออกจากภาษีขายได้
2. การนำภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการมาหักภาษีขาย ภาษีซื้อที่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าของขวัญ หรือค่ารับรองลูกค้าในบางกรณี ไม่สามารถนำมาหักจากภาษีขายได้ หากผู้ประกอบการนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาหักภาษี จะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกกรมสรรพากรตรวจสอบและเรียกคืนภาษีย้อนหลังพร้อมค่าปรับและเงินเพิ่ม
3. การใช้เอกสารที่ไม่มีการชำระเงินจริง ใบกำกับภาษีที่ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินจริง เช่น ไม่มีใบเสร็จรับเงิน หรือไม่มีหลักฐานการโอนเงินที่ถูกต้อง อาจถูกพิจารณาว่าเป็นการสร้างรายการปลอมเพื่อหักภาษีซื้อ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผู้ประกอบการควรตรวจสอบและเก็บหลักฐานการชำระเงินทุกครั้งเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
4. การบันทึกบัญชีผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน การบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง เช่น บันทึกภาษีซื้อที่ต้องห้ามเป็นภาษีซื้อลดหย่อนภาษีขาย หรือบันทึกบัญชีล่าช้า อาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบภาษีภายหลัง ผู้ประกอบการควรมีระบบบัญชีที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบเอกสารอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการบันทึกบัญชีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
5. การละเลยการตรวจสอบใบกำกับภาษีของคู่ค้า การทำธุรกรรมกับคู่ค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือออกใบกำกับภาษีผิดกฎหมาย อาจส่งผลให้ภาษีซื้อนั้นกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามโดยอัตโนมัติ ผู้ประกอบการควรตรวจสอบสถานะของคู่ค้าโดยการเช็กข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อป้องกันปัญหาภาษีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
6. การไม่เก็บเอกสารและหลักฐานไว้อย่างถูกต้อง กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีไว้อย่างน้อย 5 ปี ในกรณีที่มีการตรวจสอบย้อนหลัง หากเอกสารสูญหายหรือไม่สามารถนำมาแสดงได้ อาจทำให้ต้องเสียค่าปรับหรือเสียภาษีย้อนหลังโดยไม่จำเป็น การจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบจะช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่มีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร
7. การไม่ทำรายงานภาษีซื้อให้ถูกต้อง รายงานภาษีซื้อเป็นเอกสารที่กรมสรรพากรใช้ตรวจสอบความถูกต้องของการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม หากมีข้อผิดพลาด เช่น ไม่แยกประเภทภาษีซื้อต้องห้าม หรือไม่ระบุรายละเอียดครบถ้วน อาจทำให้ถูกเรียกตรวจสอบภาษีเพิ่มเติมได้
8. การละเลยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีซื้อต้องห้ามมีความซับซ้อน หากผู้ประกอบการไม่มีความรู้เพียงพอ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่นำไปสู่ค่าปรับและปัญหาทางกฎหมาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือผู้ทำบัญชีที่มีประสบการณ์จะช่วยให้การจัดการภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ
แนวทางปฏิบัติเมื่อถูกกรมสรรพากรตรวจสอบเรื่อง ภาษีซื้อต้องห้าม
เตรียมเอกสารให้พร้อม ตรวจสอบใบกำกับภาษี เอกสารทางบัญชี และหลักฐานการชำระเงินให้ครบถ้วน
ชี้แจงให้ถูกต้อง หากถูกสอบถาม ควรอธิบายที่มาของค่าใช้จ่ายและเหตุผลที่นำมาบันทึกเป็นภาษีซื้อ
ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษี เพื่อช่วยจัดการเอกสารและให้คำแนะนำ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมสรรพากร หากพบข้อผิดพลาด ควรดำเนินการแก้ไขและยื่นเอกสารเพิ่มเติมตามที่ร้องขอ
วิธีการจัดทำบัญชีและรายงาน ภาษีซื้อต้องห้าม ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
การบันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง
จัดทำบัญชีแยกประเภทสำหรับภาษีซื้อต้องห้าม เพื่อให้สามารถติดตามและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย
ตรวจสอบใบกำกับภาษีทุกใบว่ามีข้อมูลครบถ้วน และแยกประเภทภาษีซื้อที่สามารถหักได้และที่ต้องห้าม
การจัดทำรายงานภาษีซื้อ
รายงานภาษีซื้อต้องแสดงรายละเอียดของภาษีซื้อที่สามารถนำมาหักออกจากภาษีขาย และภาษีซื้อต้องห้าม
ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่สามารถจัดทำรายงานภาษีซื้อต้องห้ามโดยอัตโนมัติ เพื่อลดความผิดพลาด
การตรวจสอบเอกสารและหลักฐานทางบัญชี
เก็บหลักฐานการซื้อขายทั้งหมดไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี เผื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
หากพบข้อผิดพลาด ควรรีบแก้ไขและแจ้งให้กรมสรรพากรทราบ
ผลกระทบต่อผู้ซื้อ
หากผู้ซื้อได้รับใบกำกับภาษีจากผู้ขายที่ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี และนำภาษีซื้อนั้นมาหักออกจากภาษีขาย อาจส่งผลให้
การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ไม่ถูกต้อง
ถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีที่ขาด พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
อาจถูกพิจารณาว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดกฎหมาย
วิธีการตรวจสอบใบกำกับภาษี
เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ผู้ซื้อควรตรวจสอบความถูกต้องของใบกำกับภาษีก่อนนำมาหักภาษีซื้อ โดยพิจารณาดังนี้
ตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ขาย: สามารถตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อยืนยันว่าผู้ขายได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง
ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลในใบกำกับภาษี: ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องต้องมีองค์ประกอบสำคัญ เช่น
คำว่า “ใบกำกับภาษี”
ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขาย
ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อ
รายละเอียดสินค้า หรือบริการ
จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม
วันที่ออกใบกำกับภาษี
การตรวจสอบและปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการภาษีซื้อได้อย่างถูกต้อง และป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อป้องกันปัญหาทางภาษี ผู้ประกอบการควรตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของใบกำกับภาษี รวมถึงพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการหรือไม่ หากพบว่าภาษีซื้อใดเข้าข่ายเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ควรงดเว้นการนำมาหักออกจากภาษีขายหรือขอคืนภาษี
“ ภาษีซื้อต้องห้ามเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างถูกต้อง การทำความเข้าใจว่าภาษีซื้อประเภทใดที่ไม่สามารถนำมาหักภาษีขายได้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบและบทลงโทษจากกรมสรรพากรได้อีกด้วย ”
หมดปัญหาความยุ่งยากในการจัดทำใบกำกับปัญหาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) ไม่รู้ต้องเริ่มอย่างไรไง ถูกตามมาตรฐานกรมสรรพากรหรือไม่ รวมทั้งไม่ต้องพัฒนาระบบ เเละลงทุนระบบ Server เองที่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ให้ EtaxEasy เป็นผู้จัดทำ จัดส่ง เเละจัดเก็บเอกสารสำคัญของท่าน เราพร้อมบริการท่านตั้งเเต่ต้นจนจบ ทำให้เรื่องภาษีที่ยุ่งยากกลายเป็นเรื่องง่ายด้วย EtaxEasy