การจัดเก็บภาษี (e-commerce)
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ (e-commerce) มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทำให้ธุรกิจมีการแข่งขันกันเพื่อสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ และ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยการ เสนอขายและนำส่งสินค้าให้กับทางลูกค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กรมสรรพากรต้องปรับระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจใหม่นี้ โดยหลักการทั่วไปเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจ e-commerce มีดังนี้
1. ใครต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการ e-commerce ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์
- ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่จับต้องได้หรือสินค้าดิจิทัล
- ไม่ว่าจะขายผ่านเว็บไซต์ แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย
- ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ
- ที่มีรายได้จากการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย
- เช่น บริการสตรีมมิ่งเพลง ภาพยนตร์ เกม อีบุ๊ค
2. ประเภทของภาษี
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: คำนวณจากเงินได้สุทธิ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน)
- กรณีเสียภาษีตามวิธีที่ 1: ภาษี = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
- กรณีเสียภาษีตามวิธีที่ 2: ภาษี = เงินได้พึงประเมิน x 0.5% (แต่ไม่เกิน 5,000 บาท)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
- ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์
- ต้องจดทะเบียน VAT และเสียภาษีในอัตราร้อยละ 7
- กรณีออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
- หรือเสียภาษีในอัตราร้อยละ 3
- กรณีออกใบกำกับภาษีแบบย่อ
3. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีมูลค่าเพิ่มทั่วไป อยู่ที่ 7%
- สินค้าและบริการที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น
- อาหาร
- ยา
- หนังสือพิมพ์
- บริการขนส่งสาธารณะ
4. วิธีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการ e-commerce
- ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยทางผู้ประกอบการจะต้องมีการออกใบกำกับภาษี ซึ่งในปัจจุบันจะมีระบบที่ให้บริการในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ etax Invoice & e-receipt เพื่อนำส่งต่อให้กับทางผู้ซื้อสินค้าหรือผู้ใช้บริการ และนำส่งให้กับทางกรมสรรพากรผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ได้สะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
- ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และ ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน
- ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ
- ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหากมีรายได้จากการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทยเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และ ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน
5. บทลงโทษกรณียื่นภาษีมูลค่าเพิ่มช้าหรือไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท
- เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
ประเภทของธุรกิจ E-commerce
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) คือ การซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทตามรูปแบบธุรกรรมได้ดังนี้
1. ธุรกิจแบบ Business to Consumer (B2C)
ธุรกิจแบบ B2C เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปมากที่สุด หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรง ตัวอย่างธุรกิจประเภท B2C ได้แก่
- ร้านค้าปลีกออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, JD Central
- เว็บไซต์ขายสินค้าเฉพาะประเภท เช่น เว็บไซต์ขายเสื้อผ้า, เว็บไซต์ขายเครื่องสำอาง
- บริการสั่งอาหารออนไลน์ เช่น GrabFood, Foodpanda
2. ธุรกิจแบบ Business to Business (B2B)
ธุรกิจแบบ B2B หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจอื่น ตัวอย่างธุรกิจประเภท B2B ได้แก่
- เว็บไซต์ขายสินค้าส่ง เช่น Alibaba
- เว็บไซต์ขายบริการซอฟต์แวร์
- เว็บไซต์ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ
3. ธุรกิจแบบ Consumer to Consumer (C2C)
ธุรกิจแบบ C2C หมายถึง ธุรกิจที่ผู้บริโภคขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคด้วยกันเอง ตัวอย่างธุรกิจประเภท C2C ได้แก่
- เว็บไซต์ประมูลสินค้า เช่น eBay
- เว็บไซต์ขายสินค้ามือสอง เช่น Kaidee
- แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Marketplace
4. ธุรกิจแบบ Business to Government (B2G)
ธุรกิจแบบ B2G หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับหน่วยงานภาครัฐ ตัวอย่างธุรกิจประเภท B2G ได้แก่
- เว็บไซต์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- เว็บไซต์ขายซอฟต์แวร์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
- บริการให้คำปรึกษาด้าน IT แก่หน่วยงานภาครัฐ
5. ธุรกิจแบบ Government to Consumer (G2C)
ธุรกิจแบบ G2C หมายถึง ธุรกิจที่หน่วยงานภาครัฐขายสินค้าหรือบริการให้กับประชาชน ตัวอย่างธุรกิจประเภท G2C ได้แก่
- เว็บไซต์ชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ของภาครัฐ
- เว็บไซต์จองคิวบริการภาครัฐ
- แอปพลิเคชันสำหรับประชาชน เช่น แอปพลิเคชันหมอพร้อม
6. ธุรกิจแบบ Mobile Commerce (M-commerce)
ธุรกิจประเภทนี้เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านอุปกรณ์มือถือ เช่น สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ตัวอย่างธุรกิจ M-commerce ที่พบบ่อย เช่น แอปพลิเคชันร้านค้าออนไลน์ แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ หรือบริการชำระเงินผ่านมือถือ
7. ธุรกิจแบบ Social Commerce (S-commerce)
ธุรกิจประเภทนี้เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ Line ตัวอย่างธุรกิจ S-commerce ที่พบบ่อย เช่น ร้านค้าออนไลน์บน Facebook เพจขายสินค้าบน Instagram หรือกลุ่มขายสินค้าบน Line
8. ธุรกิจแบบ Local Commerce (L-commerce)
ธุรกิจประเภทนี้เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่น ตัวอย่างธุรกิจ L-commerce ที่พบบ่อย เช่น ร้านค้าออนไลน์ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าในพื้นที่จำกัด แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ที่เน้นร้านอาหารในท้องถิ่น หรือบริการเรียกรถแท็กซี่ออนไลน์
9. ธุรกิจแบบ O2O Commerce (Online to Offline Commerce)
ธุรกิจประเภทนี้เป็นการผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ตัวอย่างธุรกิจ O2O Commerce ที่พบบ่อย เช่น ร้านค้าออนไลน์ที่มีหน้าร้านจริง ร้านอาหารที่มีบริการสั่งอาหารออนไลน์และนั่งทานที่ร้าน หรือบริการจองคิวร้านอาหารออนไลน์
ธุรกิจ E-commerce แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในธุรกิจ E-commerce ควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเลือกประเภทธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวเอง สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจในรูปแบบของการ ซื้อขายสินค้า หรือให้บริการ ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ หรือ (E-Commerce) การขายสินค้าแบบมีหน้าร้านโดยทั่วไป ผู้ประกอบการต้องนำรายได้ทั้งหมดมาคำนวณเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ด้วย และถ้าหากมีรายได้ในการประกอบธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาท / ต่อปี ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายในระยะเวลาที่กรมสรรพากรได้กำหนดเอาไว้ นับจากวันที่ข้อมูลตรงตามกฎทางกรมสรรพากร ภายใน 30 วันเท่านั้น
การค้าขายออนไลน์หรือ e-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากธุรกิจ e-commerce
กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยกำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กฎหมายนี้ใช้กับธุรกิจ e-commerce เช่นเดียวกับธุรกิจทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นเฉพาะบางประการที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจ e-commerce เช่น
- การกำหนดสถานที่จัดส่งสินค้า: สินค้าที่ขายผ่าน e-commerce อาจถูกจัดส่งไปยังลูกค้าในประเทศไทยหรือต่างประเทศ กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศที่ลูกค้าตั้งถิ่นฐาน
- การขายสินค้าดิจิทัล: สินค้าดิจิทัล เช่น อีบุ๊ก เพลง และภาพยนตร์ ถือเป็นสินค้าที่จับต้องไม่ได้ กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศที่ผู้ขายตั้งถิ่นฐาน
- การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์: บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การโฆษณาออนไลน์ และบริการสตรีมมิ่ง ถือเป็นบริการที่จับต้องไม่ได้ กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศที่ผู้ใช้บริการตั้งถิ่นฐาน เป็นต้น